ความสำคัญของพระราชสาส์น สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมไปถึงอุปราชโปรตุเกส

  • Print
...ปรีดี  พิศภูมิวิถี
 
ในบรรดาเอกสารประวัติศาสตร์ที่เขียนเป็นภาษาไทยที่เก่าไปถึงสมัยอยุธยานั้น นับว่ามีน้อยมากหากเทียบกับเอกสารประเภทอื่นๆ และมักกำหนดอายุได้ว่าเป็นเอกสารในคริสต์ ศตวรรษที่ ๑๘ เป็นส่วนใหญ่ เช่น จารึกที่ฐานพระพุทธรูป ที่ระฆัง หรือเอกสารประเภทบันทึกจดหมายซึ่งพบมากในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ เป็นต้นมา เช่น ในบันทึกลายมือของออกพระวิสุทธสุนทร (ปาน) ที่เดินทางไปเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส
 
ที่หอสมุดโบตเลียน (Bodleian) มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เก็บรักษาต้นฉบับพระราชสาสน์นอักษรไทยไว้ฉบับหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะอาจจะเป็นเอกสารอักษรไทยที่หลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่ฉบับเท่านั้นที่มีอายุเก่าถึงราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ นั่นคือพระราชสาส์นของพระมหากษัตริย์ที่ปรากฏพระนามในเอกสารว่า “สมเด็จพระเอกาทศรุทธอีศวรบรมนาถบรมบพิตร”
 
ที่มาของเอกสาร
เมื่อราวปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิชเดินทางไปค้นคว้าเอกสารไทยที่จัดเก็บอยู่ ณ ต่างประเทศตามมหาวิทยาลัยต่างๆ พบว่าที่ห้องสมุดโบดเลียนของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดนั้นจัดเก็บต้นฉบับพระราชสาส์นไว้ฉบับหนึ่ง แต่ท่านก็มิได้ขอเอกสารนั้นมาดู เมื่อท่านข้ามาที่ประเทศฝรั่งเศสเพื่อค้นคว้าเอกสารที่หอสมุดแห่งชาติแล้ว จึงพบสำเนาของพระราชสาส์นฉบั้บนั้นอีก ครั้นกลับมาเมืองไทยได้ขอให้ทางหอสมุดแห่งชาติติดต่อไปที่ห้องสมุดโบดเลียนเพื่อขอสำเนา เมื่อได้รับแล้วจึงขอให้อาจารย์ประสาร บุญประคอง เป็นผู้อ่าน พระราชสาส์นฉบับนี้พิมพ์ในนิตยสารศิลปากรปีที่ ๔ เล่ม ๓ (กันยายน ๒๕๐๓) หน้า ๔๓-๕๔
 
สิ่งที่ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช กล่าวว่า ที่หอสมุดแห่งชาติประเทศฝรั่งเศสเก็บรักษาสำเนาพระราชสาส์นฉบับนี้ไว้นั้น เมื่อคราวที่ผู้เขียนเดินทางไปค้นคว้าข้อมูลที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ก็ได้สำเนาเอกสารฉบับนี้กลับมาที่เมืองไทยด้วยเช่นกัน เอกสารสำเนาพระราชสาส์นฉบับนี้ไว้ที่แผนเอกสารตะวันออก หอสมุดแห่งชาติริเชอลิเยอร์ กรุงปารีส  (Division des Manuscrits Orientaux, Bibliotheque Nationale de Paris-Richelieu) รหัสเอกสาร Indo chinois 325 ซึ่งประกอบไปด้วยเอกสาร ๒ ฉบับ มีรายละเอียดดังนี้
 
๑. เป็นชิ้นส่วนสำเนาพระราชสาส์นไปถึงพระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกส มีความยาว ๑๘ บรรทัด สำเนาจากหอสมุดโบดเลียน ออกซ์ฟอร์ด รหัส Siam d.1
 
๒. เอกสารลายมือจากที่เดียวกัน ความยาว ๙ บรรทัด
 
เอกสารทั้ง ๒ ฉบับนี้ ขอสำเนาโดยพระราชประสงค์ของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ปัจจุบัน
 
เฉพาะข้อมูลข้อ ๑ เท่านั้นที่หมายถึงเอกสารพระราชสาส์น ซึ่งแสดงว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ มีพระราชประสงค์ที่จะทรงขอสำเนาเอกสารต้นฉบับ    พระราชสาส์นนี้มาจากประเทศอังกฤษ แต่ปรากฏว่าสำเนาที่จัดเก็บที่ปารีสนี้มีเพียงส่วนเดียวเท่านั้น นอกจากข้อความตอนนี้แล้ว ในเอกสารของหอสมุดแห่งชาติกรุงปารีสยังแนบจดหมายจากหอสมุดโบดเลียนความว่า
 
ห้องสมุดโบดเลียน, ออกซ์ฟอร์ด
๑๖ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๙๘ 
 
                  สำเนาเอกสารฉบับใหญ่ ๒ ฉบับนี้ถ่ายสำเนามาจากเอกสาร MS. Siam d.I ของห้องสมุดโบดเลียน เป็นสำเนาพระราชสาส์น ของพระเจ้ากรุงสยามส่งไปถวายพระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกส พระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันมีพระราชประสงค์ขอสำเนาเอกสารเหล่านี้ เพราะหนึ่งในนั้นได้ทรงเคยเห็นมาก่อนจากการที่ท่านสาธุคุณ ดอกเตอร์ Magrath ผู้อำนายการของควีนส์คอลเลจแห่งออกซ์ฟอร์ด ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองอธิการของมหาวิทยาลัยได้ถวายให้ทอดพระเนตร
 
                     ส่วนสำเนาเอกสารฉบับเล็กกว่ามาจากห้องสมุดโบดเลียน เอกสารรหัส MS. OR. Polygl.c. I ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินต้องพระราชประสงค์เช่นกัน
 
อนึ่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗ อาจารย์ภูธร ภูมะธนได้รับทุนจากบริติช เคาน์ซิล ให้เดินทางไปค้นคว้าที่ประเทศอังกฤษ ได้ขอสำเนาพระราชสาส์นนี้มาอีกครั้งหนึ่งโดยคิดว่าเป็นเอกสารสำคัญ และยังไม่ได้รับการเผยแพร่มาก่อน อย่างไรก็ดีเมื่อนำกลับมาประเทศไทยแล้วได้ให้อาจารย์เทิม มีเต็ม นักภาษาโบราณ ๕ (ตำแหน่งขณะนั้น) ศึกษาและอ่าน จากนั้นได้พิมพ์ในวารสารรวมบทความประวัติศาสตร์ ฉบับที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ ในชื่อเรื่องว่า "เอกสารโบราณอักษรไทย ภาษาไทย รัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ จากห้องสมุดโบดเลียน ประเทศอังกฤษ"
 
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ พิทยะ ศรีวัฒนสารได้เสนอวิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตร  มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำพระราชสาส์นฉบับนี้ลงพิมพ์ในภาคผนวกของวิทยานิพนธ์ และอธิบายคำศัพท์ต่างๆ ไว้บางคำด้วย
 
ครั้งล่าสุดเมื่อ Henry Ginsburg  พิมพ์หนังสือเรื่อง Thai Art & Culture : Historic Manuscripts from Western Collections ในปีพ.ศ. ๒๕๔๓ ได้ถ่ายสำเนาพระราชสาส์นฉบับนี้รวมไว้ในเล่ม     นับได้ว่าเป็นการอนุรักษ์ต้นฉบับอย่างสมบูรณ์ที่สุด และจะเป็นเอกสารที่ผู้เขียนใช้ในการศึกษาครั้งนี้
 
ลักษณะเอกสาร
พระราชสาส์นฉบับนี้เขียนบนกระดาษขาว ขนาด ๖๔×๒๖ เซนติเมตร ขอบด้านหนึ่งชำรุด เขียนด้วยอักษรไทย รวมทั้งสิ้น ๔๖ บรรทัด เป็นอักษรสมัยอยุธยาอย่างไม่ต้องสงสัย ต้นฉบับมีลักษณะพับเป็น ๔ ส่วนเฉพาะในส่วนที่ ๓ และ ๔ นั้นคือที่พบสำเนาที่หอสมุดแห่งชาติกรุงปารีสตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขอสำเนาไว้ อย่างไรก็ดี ขอบด้านขวาของพระราชสาส์นชำรุดค่อนข้างมาก  ทำให้ข้อความในเอกสารหลายตอนขาดหายไป
 

พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมไปถึงอุปราชโปรตุเกส
 
อย่างไรก็ดี ช่วงปีรัชกาลตั้งแต่สมเด็จพระเอกาทศรถ และสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมนี้เป็นประเด็นปัญหามาแต่เดิม ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมนั้นเอกสารของวัน วลิต อธิบายไว้ว่า "ออกญาศรีวรวงศ์ มีเวลาพอในการเตรียมงานทั้งปวง และจัดการป้องกันทุกสิ่งอย่างก่อนพระเจ้าแผ่นดินสวรรคต พระองค์เสด็จสวรรคตในวันที่ ๒๒ เดือนอ้าย ปีมะโรง...พระเจ้าอยู่หัวในพระโกศมีพระชนมายุได้ ๓๘ พรรษา หลังจาที่ได้ทรงครงราชย์มาเป็นเวลา ๑๙ ปี" ปัญหาที่เกิดขึ้นคือปีที่ทรงครองราชย์นั้นมีบางเอกสารว่า ๙ ปี  หรือ ๑๙ ปี  คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยได้ตรวจสอบเอกสารอื่นๆ เพิ่มเติมแล้วมีความเป็นว่าเป็น ๑๙ ปี ดังที่ปรากฏในเอกสารอื่นจึงสรุปไว้ว่าสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมนั้นขึ้นเสวยราชย์ เมื่อปี พ.ศ.๒๑๕๓ และสวรรคตปี พ.ศ. ๒๑๗๑
 
หากเป็นไปตามข้อสรุปดังกล่าว ก็เท่ากับว่าเอกสารพระราชสาส์นฉบับนี้เป็นพระราชสาส์นของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. ๒๑๕๓-๒๑๗๑) ที่ทรงมีไปถึงอุปราชโปรตุเกส เมื่อปี ค.ศ. 1616/พ.ศ. ๒๑๕๙
 
ประการที่ ๒ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอังวะ-สยาม-โปรตุเกส อาจจะช่วยกำหนดอายุของเอกสาร และเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์ได้มากขึ้น
 
จากข้อมูลในพระราชสาส์นบรรทัดที่ ๑๔-๑๖ ความว่า “การนี้ก็สมในพระราชหฤทัยอัน (ควร)พึ่งมาแต่ก่อนทั้งปวงนั้นประการหนึ่งด้วยพระยาวีชเรหให้ทูลพระกรุณาความสองประการ...(บรรทัดที่๑๔)...หนังสือพระอางวะมาถึงพระยาวีชเรหว่าจะขอเป็นไมตรีแลพระยาวีชเรหก็ไป่มิรับแลให้งดไว้ แต่ทำไมลาปุนกร เมื่อใดแล้วมี...(บรรทัดที่ ๑๕) ว่าประการใดไซร้ จึงให้ทำตามนั้น (บรรทัดที่ ๑๖)” ทำให้ตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่ามีจดหมายจากเจ้าเมืองอังวะขณะนั้นไปถึงอุปราชโปรตุเกสที่เมืองกัวว่ามีความปรารถนาจะเจริญสัมพันธไมตรีกับโปรตุเกส แต่ทางอุปราชโปรตุเกสไม่ประสงค์จะรับไมตรีนั้นหากยังมิได้ถามทางราชสำนักสยามก่อน ไมตรีที่เจ้าเมืองอังวะต้องการให้โปรตุเกสก็คือ การยกเมืองเมาะตะมะให้กับโปรตุเกส เพราะเมื่อบุเรนองสวรรคตนั้น โอรสขึ้นครองราชย์สืบต่อมาได้พยายามขยายอำนาจไปตามหัวเมืองต่างๆ ขณะนั้นสมเด็จพระมหาธรรมราชาก็ยังคงประทับที่กรุงอังวะโดยตลอด จากนั้นได้ทรงเตรียมการยึดเมืองพะโคและเมืองสิเรียม ซึ่งมีนายพลโปรตุเกสคือ ดือ บริตู (De Brito) เป็นเจ้าเมืองอยู่ หลังจากยึดเมืองสิเรียมได้แล้ว กองทัพของพระเจ้าแผ่นดินพม่าจึงเคลื่อนพลลงไปยึดเมืองเมาะตะมะได้ในราวปี ค.ศ. ๑๖๑๓
 
แต่อย่างไรก็ดี การที่โปรตุเกสไม่รับเมืองนี้ไว้ คงมีเหตุผลที่ไม่แน่ใจหลายประการ
 
ประการแรกคือความสัมพันธ์ระหว่างโปรตุเกสกับอยุธยาอยู่ในภาวะที่ดี เพราะมีเรือสินค้าเดินทางไปมาสม่ำเสมอ จึงเป็นเหตุให้โปรตุเกสเองยังคงผูกไมตรีกับอยุธยาอยู่
 
ประการที่สอง โปรตุเกสทราบดีว่าอยุธยากับอังวะ ยังคงมีสงครามต่อเนื่องกันมาโดยตลอด การที่โปรตุเกสจะรับเมืองใดเมืองหนึ่งในดินแดนนี้จึงเป็นอันตรายต่อโปรตุเกสเองที่จะทำการค้าอย่างเสรีต่อไปได้
 
ก่อนหน้านี้ราว ๕ ถึง ๖ ปี คือใน ค.ศ. ๑๖๐๗ มีพระราชสาส์นฉบับหนึ่งจากพระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกสไปยังผู้สำเร็จราชการที่เมืองกัว เรื่องเมืองเมาะตะมะ ความโดยสรุปว่าโปรตุเกสมีดำริที่จะสร้างป้อมปราการขึ้นที่เมืองเมาะตะมะแห่งหนึ่ง เพราะเมืองนี้มีผู้คนไม่หนาแน่น ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ฮอลันดามีบทบาททางการค้า และใกล้ชิดกับราชสำนักอยุธยามาก ทั้งฮอลันดาก็ได้ต่อสู้กับพ่อค้าโปรตุเกสอยู่เนืองๆ จึงทำให้โปรตุเกสยังไม่สามารถตัดสินใจอันใดลงไปได้มากนัก
 
มีเอกสารอีกฉบับหนึ่งที่จะคลายปัญหา เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอังวะ-สยาม-โปรตุเกสได้ คือสำเนาพระราชสาส์นพระเจ้ากรุงโปรตุเกส พระราชทานไปยังอุปราชอินเดีย ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ค.ศ. ๑๖๑๘ ระบุเนื้อความต่อเนื่องจากพระราชสาส์นของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมว่า
 
"อุปราช ดอน เจรอนนิมโม เดอ อาเยเนโด ผู้ครองอุปราชก่อนหน้าท่านได้มีหนังสือมาทูลเรา โดยส่งมากับเรือวิอาสเมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้ากรุงสยามกับพระเจ้ากรุงอังวะส่งราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรี ระหว่างที่ทั้งสองกำลังทำสงครามรบพุ่งกัน และได้สัญญาว่าจะหาสินค้าให้ ...อย่างไรก็ตามเราขอให้ข้อสังเกตว่าที่พระเจ้ากรุงสยามจะยอมยกเมืองมะตะบันให้นั้น ความจริงเมืองนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรุงสยาม ส่วนพระเจ้ากรุงอังวะ ผู้สืบเชื้อสายมาจากอาระคันนั้นเล่าขณะนี้ก็มิได้เสวยราชสมบัติต่อไปแล้ว...จะต้องเชื่อไว้ก่อนว่า พวกโปรตุเกสจะไม่เข้าเป็นพวกกับฝ่ายตรงกันข้าม ฉะนั้นทั้งสองฝ่ายจึงพยายามเอาใจพวกโปรตุเกสไว้เป็นอย่างมาก ขออย่าได้หลงเชื่อคำกล่าวของฝ่ายสยามว่าจะยกเมืองมะตะบันให้ แต่ขอให้ใช้วิธีขู่พระเจ้ากรุงอังวะเป็นทำนองว่า หากพระเจ้ากรุงอังวะไม่ยอมยกเมืองมะตะบันให้แก่อาระคัน ก็จะออกคำสั่งให้พวกโปรตุเกส ซึ่งพระองค์กล่าวว่าเป็นฝ่ายพวกซีเรียมนั้น   ให้ลงมายึดเมืองมะตะบันไว้..." จากพระราชสาสน์นจึงจะเห็นว่าเมืองเมาะตะมะนั้นเป็นเมืองที่ทั้งสยามและอังวะต่างอ้างความชอบธรรมในการยึดครองอยู่ เพราะอย่างน้อยในช่วงรัชกาลสมเด็จพระเอกทศรถนั้น เมืองเมาะตะมะยังคงเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา ดังที่ปรากฏหลักฐานสอดคล้องกับพงศาวดารพม่าว่ากล่าวที่เมืองเมาะตะมะจะตกเป็นของพระเจ้าอังวะก็เป็นปี ค.ศ. ๑๖๑๓ แล้ว
 
ประการที่ ๓ นั้น ควรพิจารณาต่อไปว่าเนื้อหาของพระราชสาส์นฉบับนี้อาจแสดงให้เห็นได้หลายประเด็นคือทั้งการเมือง การค้าและการเจริญพระราชไมตรี
 

ดง เจโรนิโม ดือ อาเซเวโด อุปราชรัฐโปรตุเกสแห่งอินเดีย
 
เรื่องของการค้านั้น ปรากฏชัดเจนว่าพระเจ้าแผ่นดินอยุธยาพระราชทานสิทธิในการค้า และสิทธิแก่ลูกค้าชาวต่างชาติมากขึ้นกว่าก่อน ดังที่ปรากฏความว่าหากพ่อค้าชาวฝรั่งโปรตุเกสเดินทางเข้ามาค้าขาย หรือถูกประทุษร้ายทรัพย์สินเงินทอง  “อย่าให้ฆ่าฟันฝรั่งเสีย อนึ่งฝรั่งผู้ใดเข้ามาค้าขาย ครั้งแลฉุกไซร้ จะพระราชทานทรัพย์สิ่งสินค้าทั้งปวงให้ไปแก่บุตรภรรยาผู้ฉุกนั้น” แต่ขณะเดียวกันก็ห้ามบรรดาฝรั่งต่างชาติเบียดเบียนชาวอยุธยาด้วยเช่นกัน 
 
การเจริญพระราชไมตรีของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมไปยังเมืองกัว หรือต่อไปยังโปรตุเกสนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้แต่งคณะทูตคือ “ได้ตกแต่งปาดตรีผเรผรันสีศกตุนุสิยะสังแลพระยาสมุทรสงคราม แลหลวงสัมฤทธิ์ไมตรี ขุนอนุชิตราชาแล...ณ บัตรพระราชสาส์น แลราชมงคลบรรณามการไปถึงทองฝิหลิบ พระยาประตุการให้แจ้งกิจคดีศรีสุภามิตรแลกิจการความ” เราทราบว่าบาทหลวงฟรานซิสโก ดา อนุง ซิยาเซาออกเดินทางจากสยามเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายนค.ศ. ๑๖๑๖/พ.ศ. ๒๑๕๙ พร้อมกับคณะทูตสยาม ซึ่งได้เดินทางไปพำนักที่เมืองกัวก่อนที่จะเดินทางไปโปรตุเกสต่อ แต่ปรากฏว่าคณะทูตชุดนี้ต้องเดินทางกลับอยุธยา ดังปรากฏหลักฐานสำคัญในราชสาส์นอุปราชเมืองกัว ส่งไปทูลเกล้าถวายพระเจ้ากรุงโปรตุเกส ลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๖๑๙ ว่า
 
"คณะราชทูตที่พระเจ้ากรุงสยามส่งมาเจริญสัมพันธไมตรีกับฝ่าพระบาท ได้เดินทางมากับเฟร ฟรานซิสโค ดา อันนันซิอาเกา นักบุญ ซึ่งหม่อมฉันได้จัดส่องให้กลับไปยังประเทศสยามแล้ว ในการนี้หม่อมฉันได้กราบบังคมทูลมาให้ทรงทราบแล้วในพระราชสาส์นฉบับก่อนๆ เพราะปรากฏว่าคณะราชทูตไม่ยอมเดินทางต่อไป หากคริสโต วันรีเบลโล ไม่เดินทางมาด้วย คริสโตวัน รีเบลโลผู้นี้เป็นผู้ริเริ่มที่จะให้มีคณะราชทูตออกไปเจริญสัมพันธไมตรีกับโปรตุเกส แต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้เดินทางไปถึง และด้วยเหตุนี้พระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการซึ่งพระเจ้ากรุงสยามมีพระราชประสงค์จะส่งไปทูลเกล้าฯ จึงได้ส่งมากับเรือนำขบวน คือเรือเวีย    ซึ่งได้รับสิ่งของดังกล่าวไปแล้ว และได้กราบบังคมทูลมาให้ทรงทราบแล้ว และโดยเหตุที่     คณะทูตได้เกิดล้มเจ็บขึ้นในเมืองนี้ และได้ขอร้องให้ปล่อยพวกเขากลับไป สภาสูงได้ประชุมกันแล้วมีความเป็นว่า หม่อมฉันควรจะยอมตามคำเรียกร้อง..."
 
สรุปได้ว่าคณะราชทูตของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมได้ไปถึงเมืองกัวอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ล้มเจ็บลงและได้เดินทางกลับสยามในที่สุด ส่วนพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการนั้นได้ส่องต่อไปกับเรือของโปรตุเกสแล้ว ซึ่งก็คงหมายถึงพระราชสาส์นฉบับที่เหลืออยู่ทุกวันนี้นั่นเอง
 
สรุป
พระราชสาส์นฉบับที่จัดเก็บที่ประเทศอังกฤษ และมีสำเนาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสนั้น เป็นพระราชสาส์นฉบับสำคัญที่สุดฉบับหนึ่งในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย พระนามที่ปรากฏในพระราชสาส์นคือ สมเด็จพระเอกาทศรถซึ่งเชื่อกันว่าหมายถึงสมเด็จพระเอกาทศรถ ผู้เป็นพระอนุชาธิราชในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่จากการศึกษาเนื้อความในพระราชสาส์น สอบทานกับบริบททางประวัติศาสตร์แล้ว เชื่อว่าเป็นพระราชสาส์นในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมที่มีไปถึงพระเจ้าดงฟิลลิปที่ ๒ แห่งโปรตุเกส
 
เนื้อหาของพระราชสาส์นฉบับนี้ กล่าวถึงพระราชไมตรีของทั้ง ๒ ประเทศที่ได้ดำเนินมาก่อนหน้านี้ และสถาปนาให้มีความมั่นคงเพิ่มมากขึ้นอีก โดยมีการเพิ่มสิทธิทางการค้าและพระราชทานสิทธิแก่ชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นประโยชน์แก่ชาวต่างชาติมาอีกหลายศตวรรษ
 
จาก...หนังสือกระดานทองสองแผ่นดิน  หน้า ๑๔๒-๑๔๘ และ ๑๖๓-๑๖๙.