ถ้าไม่ทำสิ่งต่อไปนี้... สยามคงถูกอังกฤษถล่มไปแล้วตั้งแต่ในรัชกาลที่ ๔

๑๖๐ ปี (พ.ศ. ๒๓๙๘-๒๕๕๘) ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาริ่ง สยามก็เข้าสู่ระบบการค้าสากลที่เซอร์จอห์น เบาริ่ง เป็นผู้นำเข้ามา ทำให้สามารถติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกอย่างเท่าเทียมในรูปแบบการค้าเสรี และคนโดยมากก็จะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาว่าเซอร์จอห์นได้มันไปด้วยความอัปยศ หน้าฉากของความสำเร็จอาจเป็นความเจริญแบบสุดๆ ของระบบเศรษฐกิจที่เป็นแม่แบบของการค้าในปัจจุบัน แต่หลังฉากกลับเป็นการเบียดเบียน กดขี่ข่มเหง และวางอำนาจบาตรใหญ่ของอังกฤษ
 
ภายหลังจากที่อังกฤษไม่สามารถกดดันให้จีนเปิดเมืองท่า  และทำการค้ากับอังกฤษอย่างเสรีนั้น  อังกฤษก็จำเป็นต้องใช้มาตรการรุนแรงกับจีนเกิดเป็นสงครามแห่งความอัปยศในซีกโลกตะวันออกที่รู้จักกันดีว่า “สงครามฝิ่น” (Opium War)
 
ภาพเมืองกวางตุ้งถูกถล่มโดยเรือรบอังกฤษนอกชายฝั่งตามคำสั่งของ เซอร์จอห์น เบาริ่ง ภายหลังรัฐบาลจีนบิดพลิ้วสนธิสัญญาเทียนสิน ราษฎรบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก จากนั้นเซอร์จอห์นก็นำเรือรบเข้ามาข่มขู่ถึงพระนคร หากไทยปฏิเสธความหวังดีของอังกฤษ สยามก็คงจะต้องเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกับเมืองจีน (ภาพจาก ILLUSTRATED TIMES, 21 March 1857 ขณะเกิดสงครามฝิ่นครั้งที่ ๒)
 
ประวัติศาสตร์ยังบอกเราว่าเมื่อมาตรการของอังกฤษในจีน ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จมากนัก อังกฤษจึงจำเป็นต้องหาทางลัดด้วยวิธีตัดไม้ข่มนามกับชาติทางเอเชียอื่นๆ ที่เป็นตลาดเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษ เพื่อพิสูจน์ว่าทฤษฎีของอังกฤษตามแนวทางการค้าเสรีนั้นถูกต้องแล้ว และจำเป็นต้องพิสูจน์เรื่องนี้โดยเร็ว ดังนั้น ในขณะที่สงครามฝิ่นกับจีนยังไม่เสร็จสิ้น อังกฤษก็ยังต้องเปิดศึกด้านอื่นตามสำนวนไทยโบราณที่กล่าวว่าดาบจะดีจะต้องตีเมื่อเหล็กยังร้อน
 
สยามเป็นชุมทางการค้าและจุดเชื่อมโยงกับตลาดการค้าขนาดใหญ่ต่างๆ ของเอเชีย มีอาทิ อินเดีย พม่า มลายู จีน และญี่ปุ่น ทั้งยังเป็นแหล่งผลิตพืชเศรษฐกิจที่มีความต้องการอย่างมากของตลาด คือ ข้าวและน้ำตาล ความต้องการของอังกฤษก็คือ เห็นสยามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมแทนที่จะไปยึดโยงอยู่กับประเทศจีน
 
ภาพคนอังกฤษใช้ชีวิตอย่างสำราญในปะปนอยู่กับชาวเมืองเซี่ยงไฮ้ 
เซอร์จอห์นต้องการให้รัฐบาลจีนเปิดเมืองท่าเพิ่มขึ้นเพื่อค้าขายอย่างเสรี แต่ทางการจีนปฏิเสธ
 
“สนธิสัญญาเบาริ่ง” ระหว่างอังกฤษกับสยามจึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๘ (ค.ศ. ๑๘๕๕) ประกอบด้วยข้อตกลง ๒๑ ข้อ เนื้อหาของสัญญาเป็นความเข้าใจทางพระราชไมตรีและการกำหนดระเบียบใหม่ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ การค้าเสรี การจัดเก็บภาษี สิทธิสภาพนอกอาณาเขต และสิทธิมนุษยชน
 
เป็นที่น่าสังเกตว่าสัญญาเบาริ่งฉบับนี้มีความคล้ายคลึงและมีมาตรฐานเดียวกันกับ “สนธิสัญญานากิง” (Treaty of Nanjing) ซึ่งอังกฤษกับจีนทำร่วมกันใน พ.ศ. ๒๓๘๕ (ค.ศ. ๑๘๔๒) หลังจากที่จีนแพ้อังกฤษในสงครามฝิ่นครั้งที่ ๑ ส่งผลให้จีนต้องยกเลิกระบบการผูกขาดการค้าของสำนักโคฮองและถูกบังคับให้เปิดการค้าขายแบบเสรีแทน
 
และโดยที่อังกฤษยังระแวงอยู่ตลอดเวลาว่า สยามจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการยกเลิกอำนาจของกรมพระคลังสินค้า (คล้ายสำนักโคฮองของจีน) จนอาจมีปฏิกิริยาต่อต้านข้อเสนอของอังกฤษ จึงได้ส่งสาส์นเข้ามาก่อนเหมือนเขียนเสือให้วัวกลัว ดังคำชี้แจงของ เซอร์จอห์น เบาริ่ง ซึ่งบรรจุเหตุผลทั้งไม้นวมและไม้แข็งไว้ในฉบับเดียวกันว่า
 
“พระมหากษัตริย์ของเสอยอนโบวริงให้เข้ามาทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีค้าขายแลการค้าอื่นๆ หลายอย่างเพื่อจะให้บ้านเมืองเจริญขึ้น เดี๋ยวนี้ที่ทะเลเมืองจีนมีเรือรบอยู่ในบังคับอังกฤษมาก เสอยอนโบวริงจะเข้ามาเยี่ยมเยือนมิใช่จะมาทำให้บ้านเมืองไทยตื่นตกใจ เสอยอนโบวริงจะเข้ามาด้วยเรือน้อยลำ ท่านเสนาบดีก็อย่าเข้าใจผิดไปแล้วก็อย่าให้เป็นเหตุขัดขวางทางสัญญามาตรีค้าขายเพราะมาน้อยลำ ถ้ารับรองโดยรักใคร่กัน ใจของเสอยอนโบวริงคิดสมควรกับบ้านเมืองใหญ่แล้วในใจเสอยอนโบวริงไม่อยากจะเอากำลังอำนาจใหญ่ใช้เลย”
 
หลักฐานใหม่ยืนยันว่าอังกฤษส่งเรือรบประกบเข้ามาพร้อมกับ เซอร์จอห์น เบาริ่ง ด้วย และพร้อมที่จะใช้มาตรการรุนแรงกับสยามทันทีดังเช่นที่ได้ทำมาแล้วกับชาวจีน ถ้าหากสยามปฏิเสธความหวังดีของอังกฤษโดยไม่คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนหรือความเห็นใจใดๆ ทั้งสิ้น เท่ากับสลัดทิ้งมาดสุภาพบุรุษที่คนอังกฤษเป็นต้นแบบมาช้านาน
 


คนอังกฤษเสี้ยมสอนให้คนจีนต้มฝิ่นเพื่อบริโภค (บน) และ (ล่าง)
เมื่อคนจีนติดฝิ่นอย่างงอมแงมจะได้อุดหนุนสินค้าของอังกฤษ
โดยไม่ใยดีต่อผลลัพธ์ที่อาจทำลายสังคมจีนโดยไม่รู้ตัว
 
คำถามกินใจที่อังกฤษต้องตอบ
๑๗๐ ปี ภายหลังการทำสงครามฝิ่นครั้งแรกยุติลง (ค.ศ. ๑๘๔๒-๒๐๑๒) นิตยสารชื่อดังของอังกฤษออกแนวประวัติศาสตร์ที่มียอดขายอันดับหนึ่งของประเทศชื่อ History Magazine อยู่ในเครือ BBC อันเป็นสถาบันสื่อสารมวลชนที่คนทั่วโลกยอมรับ ลงบทความ Cover Story  ที่ทำให้นักประวัติศาสตร์อังกฤษต้องอึ้ง กับคำถามที่บรรพชนอังกฤษคิดไม่ถึงมาก่อนภายใต้ข้อกล่าวหา The Big Questions of Britain’s Empire (คำถามใหญ่ของจักรวรรดินิยมอังกฤษ) ที่สะท้อนความฉ้อฉลเบื้องหลังอำนาจบาตรใหญ่ของรัฐบาลอังกฤษในอดีต 
 
History Magazine ฉบับเดือนกุมภาพพันธ์ ค.ศ. ๒๐๑๒ ระดมมันสมองของนักวิชาการกระแสหลักของอังกฤษสมัยปัจจุบันให้ช่วยสังเคราะห์ และบางทีก็ถากถางความสำเร็จและความล้มเหลวของรัฐบาลอังกฤษในยุค Victorian Heyday (ค.ศ. ๑๘๓๘-๑๙๐๑) อันเป็นยุคที่อังกฤษสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวจนผงาดขึ้นมาเป็นเจ้าโลกมีพื้นที่ในครอบครองกว้างใหญ่ไพศาลขนาดที่ดวงอาทิตย์ไม่มีโอกาสอัสดงอีกต่อไปจากแผ่นดินอังกฤษ
 
การที่นักวิชาการรุ่นใหม่มิได้เกิดในยุควิกตอเรีย จึงเป็นผู้มีอิสระทางความคิดอย่างเต็มที่ต่อพฤติกรรมอำพรางของคนร่วมชาติ เห็นได้จากทัศนคติที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและความใจเปิดกว้างมากขึ้นที่จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดเผยโดยไม่ใช้สถานภาพของความเป็นคนอังกฤษเป็นเกณฑ์ในการตัดสินดังเช่นคนในยุคก่อน
 

หน้าปกนิตยสาร History Magazine ของอังกฤษตีแผ่ความฉาวโฉ่
เกี่ยวกับนโยบายขยายอาณานิคมของอังกฤษสมัยควีนวิกตอเรีย
และความอื้อฉาวของบรรพชนอังกฤษในอดีต
 
ประเด็นร้อนแรงรวม ๑๐ หัวข้อเด่นที่กินใจคนอังกฤษต่อความผิดพลาดและคำครหาทางจักรวรรดินิยมของบรรพบุรุษถูกนำออกมาตีแผ่อีกครั้งภายใต้การพิพากษาของคนรุ่นหลังด้วยข้อกล่าวหาที่คนอังกฤษรุ่นก่อนไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความคิดเห็นหรือพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของตนเองครอบคลุมทฤษฎีต่อไปนี้
 
๑. ความทะเยอทะยานของราชสำนัก (อังกฤษ) ในอดีตส่งผลต่อชีวิตคนอังกฤษในปัจจุบันอย่างไร?
๒. จักรวรรดิอังกฤษโบราณใหญ่โตแค่ไหนกันแน่?
๓. จักรวรรดิอังกฤษเป็นของอังกฤษจริงหรือ?
๔. พ่อค้าอังกฤษยุคแรกๆ มีความสำคัญต่อจักรวรรดิขนาดไหน?
๕. สงครมกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา ส่งผลอย่างไรต่อฐานะของจักรวรรดิอังกฤษ?
๖. อินเดียมีค่าอย่างไรต่ออังกฤษ?
๗. “ฝิ่น” ช่วยให้อังกฤษคุ้มทนจริงหรือ?
๘. อังกฤษร่ำรวยขึ้นในขณะที่จักรวรรดิจนลงจริงหรือ?
๙. คนในอาณานิคมมองตนเองอย่างไรในฐานะพลเมืองอังกฤษ?
๑๐. การสิ้นสุดยุคอาณานิคมกระทบฐานะของอังกฤษอย่างไร?
 
คำถามเหล่านี้เท่ากับทบทวนบทบาทของคนอังกฤษในอดีตที่ผ่านมา และตีแผ่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของอาณานิคม (จักรวรรดิ) อังกฤษที่ได้มาด้วยเลือดและน้ำตาของผู้คนบริสุทธิ์ในส่วนต่างๆ ของโลก
 
ประเด็นอันแตกต่างของอังกฤษในอินเดียและสงครามฝิ่นในจีน เป็นเครื่องฉุดลากสยามเข้าไปสู่วงจรและองค์ประกอบในการสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ของคนอังกฤษที่เรียกว่าการค้าเสรี โดยมีสัญญาเบาริ่งเป็นตัวผูกมัด แต่อังกฤษได้สัญญาฉบับนี้ไปด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ หรือ?
 
ต่อไปนี้เป็นบทวิเคราะห์ของนักประวัติศาสตร์อังกฤษรุ่นใหม่ต่อมุมมองเรื่องบทบาทของอังกฤษในอินเดียและจีนซึ่งจะส่งผลต่อทฤษฎีการค้าเสรี (และสัญญาเบาริ่ง) ที่อังกฤษต้องการต่อยอดออกไปในที่สุด
 
อินเดียมีค่าอย่างไรต่ออังกฤษ?
นายเดนิส จัดด์ แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ณ กรุงลอนดอน เขียนบทความเรื่อง What was India’s value to Britain? ใน History Magazine วิจารณ์ข้อโต้แย้งกับข้อมูลในประวัติศาสตร์อังกฤษว่า
 

ปกด้านในของ History Magazine ตีแผ่ด้านมืดของสงครามที่อังกฤษสรา้งขึ้น
กับ ๑๐ คำถามหนักใจที่คนอังกฤษในปัจจุบันต้องตอบแทนคนในอดีต
 
“ในปี ค.ศ. ๑๙๐๑ ลอร์ดเคอร์ซอน (ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำอินเดีย) เคยกล่าวว่า “ตราบใดที่เรายังปกครองอินเดียตราบนั้นเรายังเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ถ้าเราเสียอินเดียไปเราก็จะร่วงหล่นไปเป็นมหาอำนาจอันดับท้ายแถวทีเดียว”
 
ความจริงก็คือประเทศอังกฤษก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งได้ เพราะการเป็นผู้ริเริ่มต้นในการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้สามารถผูกขาดระบบเศรษฐกิจ และศูนย์กลางการผลิตสินค้าของชาวโลกทั้งหมด นำมาซึ่งความมั่งคั่งร่ำรวยและเสถียรภาพทางการเมืองอันมั่นคง ส่งเสริมให้เธอสามารถพัฒนาแสนยานุภาพทางทะเลและขยายพื้นที่ด้านอาณานิคมซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการหาวัตถุดิบ การแสวงหาตลาด และพัฒนาการขนส่งอันเป็นปัจจัยของการปฏิวัติอุตสาหกรรม
 
อินเดียกลายเป็นผลพลอยได้และศูนย์กลางของปัจจัยสำคัญนั้นและเป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายขยายอำนาจของอังกฤษออกสู่โพ้นทะเล นักสังเกตการณ์มักจะตีค่าอินเดียเป็นความภาคภูมิใจของคนอังกฤษ แทนที่จะแข่งอำนาจกับคู่แข่งอื่นที่มัวแต่ยื้อกันครองความเป็นใหญ่ในภาคพื้นยุโรปที่ปัจจัยเด่นๆ ร่อยหรอลงเต็มที
 
แต่คุณค่าของอินเดีย กลับเพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาลแก่อังกฤษมากกว่าความมีศักดิ์ศรีของชาติมหาอำนาจยุโรปเท่านั้น อินเดียมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอังกฤษที่เพิ่มมูลค่ามากกว่าครึ่งของการค้าขายทางทะเลของอังกฤษทั้งหมดและเป็นกำไรสุทธิของเงินลงทุนในการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษ เพียงผลกำไรที่เกิดจากอินเดียอย่างเดียวก็สามารถใช้เลี้ยงระบบโครงสร้างอาณานิคมทั่วโลกของอังกฤษได้อย่างสบาย
 
เม็ดเงินจำนวนมหาศาลของทุนจากอังกฤษถูกลงทุนในอินเดีย ผลกำไรใหญ่หลวงไม่ได้เป็นแค่ความคาดหวังแต่ผลิดอกออกผลเป็นรูปธรรมจากโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นในอินเดีย เช่น โครงการรถไฟขนาดยักษ์และโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่นี่การันตีเงินตอบแทนอย่างไม่มีวันขาดทุนแก่นักลงทุนอังกฤษเป็นเวลานับร้อยปี และไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายให้คนอังกฤษเลยจากการดูแลอาณานิคมนอกประเทศแม้แต่น้อย
 
ยิ่งไปกว่านั้นประชากรอันมหาศาลของอินเดียกลายเป็นกำลังสำคัญอันดับหนึ่งของการขยายอาณานิคมออกไปอีก และเป็นส่วนใหญ่ของขุมกำลังด้านกองทัพของอังกฤษที่ใช้ในการศึกสงครามหรือใช้ข่มขวัญชาวโลกให้เกรงกลัวก็ล้วนมาจากอินเดียแทนที่จะเป็นนักรบโดยตรงจากอังกฤษ
 
ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ อุบัติขึ้น ทหารหาญชาวอินเดียหลายล้านคนถูกเกณฑ์เข้าไปไว้ในกองทัพของอังกฤษในทวีปยุโรป นอกจากนี้เงินที่ใช้ในการบำรุงกองทัพกว่า ๔๐ เปอร์เซ็นต์ก็ยังเป็นเงินภาษีจากอินเดียใช้ขับเคลื่อนกองทัพอันเกรียงไกรของอังกฤษ ภายหลังครามอังกฤษจึงไม่บอกช้ำมากนัก ต่างกับคู่สงครามชาติอื่นๆ มีอาทิฝรั่งเศสและรัสเซียซึ่งต้องใช้เวลาอีกนานหลายปีในการเยียวยาเพราะเสียหายมากกว่าอังกฤษหลายเท่าตัว
 
จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่อังกฤษจะสูญเสียอินเดียไปไม่ได้ และบ่อยครั้งที่อินเดียถูกขนานนามว่าเป็นเพชรประดับยอดมงกุฎของกษัตริย์อังกฤษ” (Denis Judd, London)
 

ชาวจีนอ่านข่าวการคุกคามและคำขู่ของอังกฤษในหน้า
หนังสือพิมพ์ THE ILLUSTRATED LONDON NEWS (บน)
และปืนใหญ่บนเรือรบอังกฤษคำสั่งก่อนเปิดฉากยิงถล่มเมืองกวางตุ้ง
 

ปืนใหญ่ทรงอานุภาพบนเรือรบอังกฤษนอกชายฝั่งระดมยิงเมืองกวางตุ้ง
เพื่อปราบพยศคนจีนที่ไม่ยอมทำตามข้อผูกมัดสนสนธิสัญญาของอังกฤษ
 
“ฝิ่น” ช่วยให้อังกฤษคุ้มทุนจริงหรือ?
ด๊อกเตอร์จูเลีย โลเวลล์ แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอนเขียนบทความเรื่อง Did Opium bankroll the British Empire? ในเรื่อง History Magazine เปิดโปงความลี้ลับของสงครามฝิ่นที่มีอังกฤษอยู่เบื้องหลัง
 
“การค้าฝิ่นเป็นความล้มเหลวที่ถูกลืมของจักรวรรดิอังกฤษ เรายังจดจำความผิดพลาดที่น่าอายจากอดีตอย่างการค้าทาสและการเหยียดสีผิวเป็นวาระแห่งชาติที่อังกฤษเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่การค้าฝิ่นและสงครามฝิ่นระหว่างอังกฤษกับจีนในช่วงทศวรรษ ๑๘๔๐ และ ๑๘๕๐ ที่จริงเป็นการเปิดหน้ากากให้เห็นความเห็นแก่ตัวของคนอังกฤษมากกว่าความผิดใดๆ ที่กระทำต่อชาวต่างชาติสำหรับคนในยุคปัจจุบัน
 
ฝิ่นเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของอาณานิคมในเครือจักรภพโดยตรงเพราะมันปลูกในอินเดียภายใต้การบริหารของชาวอังกฤษ เพื่อขายให้กับชาวเอเชียตะวันออก พ่อค้าอังกฤษใช้เงินที่ขายฝิ่นได้ไปซื้อ “ใบชา” ให้ชาวอังกฤษดื่ม ขนาดที่สามารถทำให้การดื่มชากลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติของอังกฤษเลยทีเดียว
 
นอกจากนี้ รัฐบาลอังกฤษยังกินหัวคิวเก็บอาการใบชาไปอุดหนุนระบบราชการอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับการดูแลอาณานิคมอันได้แก่ กระทรวงราชนาวี ดังนั้น การค้าฝิ่นจึงจำเป็นและดำเนินอยู่ได้ในยุควิกตอเรีย (Victorian Heyday) และพ่อค้าฝิ่นในตลาดมืดก็ลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
 
กระทรวงอาณานิคมของอังกฤษในลอนดอนมีงบประมาณลับ ซึ่งได้รับการอุดหนุนจากการค้าฝิ่นและการที่คนอังกฤษผูกขาดการขายฝิ่นอย่างเอิกเกริก เนื่องจากเป็นสิ่งถูกกฎหมาย แม้นว่าจะขัดความรู้สึกของคนอังกฤษภายในประเทศก็ตาม
 
ตัวอย่างเช่นในช่วงทศวรรษ ๑๘๕๐ รายได้จากภาษีฝิ่นอย่างเดียวมีค่าเท่ากับ ๒๐% ของรายได้เข้างบประมาณแผ่นดินของอังกฤษ ไม่นับรายได้อื่นๆ จากอินเดีย ซึ่งทำให้อังกฤษร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาลจากโครงสร้างอาณานิคมและจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น ๒ เท่าถ้าสามารถทำให้คนเอเชียติดฝิ่นมากขึ้น
 
ธุรกิจการค้าฝิ่นในจีนเพียงอย่างเดียวก็ทำให้เศรษฐกิจของอังกฤษเฟื่องฟูโดยไม่จำเป็นต้องยึดครองจีนมาเป็นอาณานิคมอย่างอินเดีย แต่ใช้อินเดียเป็นฐานในการต่อยอดกำไรให้อังกฤษก็เหลือเฟือแล้ว
 
ระหว่างปี ค.ศ. ๑๘๐๐-๓๙ ยอดการขายฝิ่นของอังกฤษให้จีนพุ่งขึ้น ๑๐ เท่าตัว โดยใน ค.ศ. ๑๘๐๐ พ่อค้าอังกฤษขายฝิ่นได้ ๔,๐๐๐ หีบ ให้ชาวจีน แต่ใน ค.ศ. ๑๘๓๙ ขายได้เป็น ๔๐,๐๐๐ หีบ จีนจึงเป็นลูกค้ารายใหญ่ของอังกฤษไม่นับการขายฝิ่นปลีกย่อยให้ชาวเอเชียชาติอื่นๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม อังกฤษก็รับไปเต็มๆ
 
และเมื่อรัฐบาลจีนเริ่มเห็นพิษภายจากฝิ่นที่กำลังกัดกินสังคมจีนจึงหันมาปฏิเสธการซื้อฝิ่นจากพ่อค้าอังกฤษและกวาดล้างสินค้าอัปรีย์ของอังกฤษอย่างจริงจัง โดยนำฝิ่นมาเผาทิ้งเพื่อทำลาย รัฐบาลอังกฤษจึงตอบโต้รัฐบาลจีนด้วยการเปิดศึกครั้งใหญ่กับจีนถึง ๒ ครั้ง ในช่วง ค.ศ. ๑๘๓๙-๔๒ และ ค.ศ. ๑๘๕๖-๖๐ เรียกสงครามฝิ่นครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ โดยอังกฤษตั้งความหวังจะทำให้ฝิ่นเป็นสินค้าถูกกฎหมายและค้าขายกันได้อย่างเสรีในจีน (และเอเชีย)
นักวิเคราะห์ประวัติศาสตร์กล่าวว่านโยบายต่างประเทศของอังกฤษในสมัยนั้นเป็น “ยุคมืด” ที่คนอังกฤษสร้างขึ้นด้วยการสมรู้ร่วมคิดของนักการเมือง และนายทุนที่สร้างความฉาวโฉ่ให้กับคนอังกฤษมากกว่าการกดขี่ข่มเหงมนุษยชาติด้านอื่น เช่น การค้าทาสและการเหยียดสีผิว ซึ่งอังกฤษไม่เคยยอมรับผิดแม้จนทุกวันนี้
 
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับยุโรปในยุคสมัยต่อๆ มาล้วนแปดเปื้อนและมีมลทินมาจากความเห็นแก่ตัวและการทำสนธิสัญญาที่ทำให้อังกฤษได้เปรียบในเชิงการค้า และตักตวงผลกำไรจากความอ่อนแอและเสียเปรียบของชาวเอเชียทั้งสิ้น” (Dr. Julia Lovell, London) 
 

ภาพประวัติศาสตร์ : ภาพกองเรือรบของฝรั่งเศสสมทบกับกองเรืออังกฤษ
ยิงถล่มเมืองกวางตุ้งอย่างไม่ปรานีปราศรัย เปิดเผยอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส
 
อังกฤษต้องการใช้กำลังจัดการกับไทย
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเชื่อว่าอังกฤษตั้งธงไว้ตั้งแต่แรกที่จะใช้ไม้แข็งจัดการกับสยาม เพราะเข้าใจว่ารัฐบาลสยามคงจะลังเลที่จะทำสนธิสัญญากับอังกฤษซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าเป็นสัญญาที่ทำให้อังกฤษได้เปรียบในทุกประตูเพื่อความเป็นต่อของอังกฤษเอง
 
ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดไม้ข่มนาม เซอร์จอห์น เบาริ่ง จึงได้นำเรือรบประกบเข้ามาใช้ชาวสยามได้เห็น อันเป็นการข่มขวัญและกดดันการตัดสินใจของชาวสยามเร็วขึ้น และถ้าคนในพระนครยังขัดขืนคำขอของอังกฤษแล้วไซร์ เซอร์จอห์นก็เตรียมจะถล่มพระนครให้ราบเป็นหน้ากลองเหมือนกับที่อังกฤษเพิ่งจะถล่มเมืองกวางตุ้งเป็นตัวอย่างมาแล้ว
 

เรือประมงจีนทอดสมอดูเรือรบอังกฤษถล่มกวางตุ้งอย่างตื่นตระหนก
(ซ้าย) (ขวา) ทหารจีนที่ป้อมต้ากู่พลีชีพอย่างอเนจอนาถหน้าเมือวกวางตุ้ง
 

กองกำลังต่างชาติถ่ายภาพที่ระลึกภายหลังยิงถล่มและยึดป้อมของจีนได้สำเร็จ
 
การตีความใหม่ของบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยปรากฏอยู่ใน “อธิบายหมายรับสั่ง (รัชกาลที่ ๔) เรื่องรับเซอร์จอห์นเบาริ่ง” โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงชี้แจงอุปสงค์ในครั้งนั้นว่า
 
อธิบายหมายรับสั่งเรื่องรับ
เซอร์จอห์นเบาริ่ง
 
เมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๙๘ เป็นปีที่ ๕ ในรัชกาลที่ ๔ สมเด็จพระราชินีวิกตอเรียพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษทรงแต่งให้เซอร์จอห์นเบาริ่ง เป็นอัครราชทูต เชิญพระราชสาส์นแลเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อจะขอทำหนังสือสัญญา ให้ประเทศอังกฤษกับประเทศสยามมีทางพระราชไมตรีตามประเพณีประเทศที่เป็นอิสระเสมอกันสืบไป
 
ที่จริงอังกฤษกับไทยได้เริ่มมีไมตรีกันตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถครองกรุงศรีอยุธยา เป็นเวลาแรกที่อังกฤษจะมาค้าขายถึงเมืองไทยในรัชกาลนั้น แต่นั้นมาพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษกับพระเจ้าแผ่นดินสยามก็มีพระราชสาส์นแลส่งราชบรรณาการไปมาถึงกันเนืองๆ แต่ไม่ปรากฏว่าได้เคยแต่งราชทูตแต่ราชสำนักฝ่ายใดไปถึงอีกฝ่ายหนึ่งเหมือนอย่างฝรั่งเศส พระราชสาส์นแลศุภอักษรเสนาบดีที่อังกฤษกับไทยมีถึงกันเป็นแต่ให้พวกพ่อค้าเป็นผู้เชิญไปมา จนสิ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มาถึงสมัยเมื่อกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ในรัชกาลที่ ๑ ทางประเทศยุโรปกำลังเกิดสงครามนโปเลียน ฝรั่งต่างชาติต้องกังวลด้วยการสงครามนั้นอยู่ช้านาน จน พ.ศ. ๒๓๕๓ พวกสัมพันธมิตรจึงมีชัยชนะฝรั่งเศส แต่นั้นอังกฤษก็มีอำนาจมากจึ้นทางประเทศตะวันออก แต่อำนาจนั้นยังอยู่ในบริษัทอังกฤษซึ่งปกครองประเทศอินเดีย รัฐบาลอังกฤษเองยังหาใคร่จะได้มาเกี่ยวข้องทางประเทศตะวันออกนี้ไม่เพราะฉะนั้นหมอครอเฟิดที่เป็นทูตอังกฤษเข้ามาในรัชกาลที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๓ ก็ดี เฮนรีเบอร์นีทูตอังกฤษที่เข้ามาทำหนังสือสัญญาฉบับแรกที่ไทยทำกับอังกฤษในรัชกาลที่ ๓ เมื่อพ.ศ. ๒๓๖๙  ก็ดี เป็นแต่ทูตของผู้สำเร็จราชการอินเดีย หาได้เป็นราชทูตมาแต่ราชสำนักพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษไม่ รัฐบาลอังกฤษพึ่งจับบัญชาการทางประเทศตะวันออกเองเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ ตรงกับรัชกาลที่ ๓ เริ่มได้เกิดอริวิวาทกับประเทศจีนจนเลยถึงรบพุ่งกัน อังกฤษมีชัยชนะ จีนต้องยอมทำหนังสือค้าขายกับอังกฤษ แลต้องยกเกาะฮ่องกงให้แก่อังกฤษ เมื่ออังกฤษมีอาณาเขตเป็นที่มั่นทางเมืองจีนแล้ว รัฐบาลอังกฤษจึงคิดขยายการค้าขายของอังกฤษให้กว้างขวางออกไป ตามประเทศที่ใกล้เคียง เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๓๙๓  ลอร์ดปาลเมอสะตันเสนาบดีว่าการต่างประเทศอังกฤษให้เซอร์เชมสบรุกถือหนังสือเข้ามาถึงเสนาบดีในกรุงเทพฯ จะขอแก้ไขหนังสือสัญญาซึ่งเฮนรเบอร์นีได้มาทำไว้ให้เป็นประโยชน์แก่พ่อค้าอังกฤษยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่หาสำเร็จดังประสงค์ไม่ ด้วยเมื่อเซอร์เชมสบรุกเข้ามาเป็นเวลาจวนจะสิ้นรัชกาลที่ ๓  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรอยู่แล้ว ฝ่ายไทยไม่ยอมแก้ไขสัญญาให้ตามประสงค์ของรัฐบาลอังกฤษ เซอร์เชมสบรุกก็ต้องกลับไป ความมาปรากฏภายหลังว่าเมื่อเซอร์เชมสบรุกบอกรายงานไปยังรัฐบาลอังกฤษๆ มีคำสั่งมาว่าให้กลับมาเมืองไทยอีก แลคราวนี้ให้เอาเรือรบในกองทัพของอังกฤษที่เมืองจีนมาด้วยถ้าไทยไม่ยอมแก้หนังสือสัญญา ก็ให้ใช้อำนาจเหมือนที่ทำที่เมืองจีน ให้ไทยยอมทำหนังสือสัญญาตามอังกฤษต้องการให้จงได้ แต่เมื่อคำสั่งนั้นออกมาถกถึงประจวบเวลาทางเมืองไทยเปลี่ยนรัชกาลใหม่ อังกฤษทราบว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงศึกษาทราบภาษาอังกฤษแลมีราชหฤทัยนิยมต่อการที่จะสมาคมกับฝรั่ง เข้าใจว่ารัฐบาลไทยคงจะไม่ถือคติอย่างจีนเหมือนแต่ก่อน รัฐบาลอังกฤษจึงเปลี่ยนความคิดเดิมแต่งให้เซอร์จอห์นเบาริ่งเจ้าเมืองฮ่องกง เป็นอัครราชทูต เชิญพระราชสาส์นของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียกับเครื่องราชบรรณาการเข้ามาขอทำหนังสือสัญญาโดยทางไมตรี
 
การที่เซอร์จอห์นเบาริ่งเข้ามาทำครั้งนั้น เป็นการสำคัญแก่ฝ่ายไทยที่อาจจะมีผลดีหรือผลร้ายได้ทั้ง ๒ สถาน คือ ถ้าหากว่าไทยแข็งขึงดึงดันไม่ยอมแก้สัญญาอย่างเมื่อครั้งเซอร์เชมสบรุกเข้า ก็คงเกิดรบกับอังกฤษ แต่ถ้าหากหวาดหวั่นเกรงอำนาจอังกฤษ ยอมแก้สัญญาด้วยความกลัวเกินไป ก็คงเสียเปรียบในกระบวนสัญญาก็เป็นผลร้ายเหมือนกัน ทางที่จะได้ผลดีมีแต่ที่จะต้องให้เป็นการปรึกษาหารือกันโดยปรองดอง ด้วยไมตรีจิตต่อกันทั้ง ๒ ฝ่าย เพราะฉะนั้นการรับราชทูตอังกฤษครั้งนี้ จึงเป็นการสำคัญผิดกับทูตที่เคยมาคราวก่อนๆ อยู่อย่าง ๑ 
 


กรุงปักกิ่งพังพินาศเป็นหน้ากลองภายหลังการยิงถล่มของกองกำลังต่างชาติในช่วงกบฏนักมวย
เมื่อพระนางซูสีไทเฮายังขัดขืนและท้าทายอำนาจของชาติตะวันตก (บน) และ (ล่าง)
ป้อมเหนือกำแพงกรุงปักกิ่งอันใหญ่โตมโหฬารสูงถึง ๕๐ ฟุต ก็ไม่อาจต้านทานผู้รุกรานได้
 
อีกประการ ๑ ประเพณีการรับราชทูต ย่อมเป็นการที่เจ้าของเมืองต้องระมัดระวังแต่โบราณมาตราบเท่าทุกวันนี้ไม่ว่าในประเทศไหนๆ ด้วยราชทูตถือว่าเป็นผู้มาต่างพระองค์พระเจ้าแผ่นดินของตน ถ้าเจ้าของเมืองไม่รับรองหรือประพฤติไม่สมเกียรติยศราชทูตก็หาว่าเป็นการประมาทหมิ่นไม่นับถือพระเจ้าแผ่นดิน อาจจะเป็นเหตุให้ถึงหมองหมางทางพระราชไมตรีก็เป็นได้ ดังเช่นเมื่อเยอรมันกับฝรั่งเศสจะรบกันเมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๔๑๒ บิสมาร์กต้องการจะให้ปรากฏว่าฝรั่งเศสเป็นฝ่ายก่อการสงครามก่อน แกล้งทำกลอุบายให้ข่าวปรากฏไปถึงเมืองปารีสว่า ราชทูตฝรั่งเศสจะไปเฝ้าพระเจ้าวิลเลียมที่ ๑ (ซึ่งภายหลังเป็นเยอรมันเอมปเรอ) พระเจ้าวิลเลียมไม่ให้เฝ้าพอข่าวปรากฏเท่านี้ก็เกิดโกลาหลในพวกพลเมืองฝรั่งเศสกล่าวหาว่าพระเจ้าวิลเลียมดูหมิ่นฝรั่งเศส จนรัฐบาลต้องรบกับเยอรมัน เรื่องเกียรติยศของราชทูตจึงเป็นการสำคัญในเรื่องรักษาทางพระราชไมตรีด้วยอีกประการ ๑
 
เซอร์จอห์นเบาริ่งเข้ามาคราวนี้เป็นราชทูตอังกฤษคนแรกที่จะได้เข้ามาเมืองไทย เพราะผู้ที่มาแต่ก่อนๆ เช่น หมอครอเฟิดแลเฮนรีเบอร์นีเป็นแต่ทูตของขุนนางผู้สำเร็จราชการอินเดีย เซอร์เชมสบรุกก็เป็นแต่ผู้ถือหนังสือของเสนาบดีว่าการต่างประเทศดังกล่าวมาแล้ว ยังหาเคยมีราชทูตมาจากราชสำนักของอังกฤษไม่ แท้จริงราชทูตฝรั่งเศสที่ได้เคยมาเมืองไทยจากราชสำนักประเทศอื่นแต่ก่อนมา เคยมีปรากฏแต่เมื่อครั้งพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงแต่งให้ราชทูตฝรั่งเศสเข้ามาในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันล่วงเวลามาได้ถึง ๑๖๗ ปี แต่หากจดหมายเหตุยังมีอยู่จึงรู้เรื่องได้ ความปรากฏในหนังสือซึ่งเซอร์จอห์นเบาริ่งกลับไปแต่งเรื่องเมืองไทยว่าเซอร์จอห์นเบาริ่งเข้ามาคราวนั้นก็ตั้งใจมาว่า ถ้าไทยรับรองเพียงเสมออย่างหมอครอเฟิด หรือเฮนรีเบอร์นี ก็จะถือว่าไม่รับรองให้สมเกียรติยศได้ค้นหาจดหมายเหตุครั้งสมเด็จพระนารายณ์ทรงรับรองราชทูตฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เตรียมมาไว้สำหรับจะคอยว่ากล่าวกับรัฐบาล แต่ข้างฝ่ายไทยครั้งนั้น พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงคาดการณ์โดยพระปรีชาญาณ เห็นว่าเซอร์จอห์นเบาริ่งคงจะเกี่ยงให้รับรองให้เกียรติยศสูงกว่าเคยรับทูตฝรั่งที่มาแต่ก่อน เพราะเป็นราชทูตมาแต่ราชสำนัก พระองค์เคยทรงหนังสือจดหมายเหตุเรื่องราชทูตฝรั่งเศสเข้ามาเมื่อครั้งสมเด็จพระนารายณ์ ทรงพระราชดำริ เห็นลักษณะการตรงกับที่เซอร์จอห์นเบาริ่งเข้ามาครั้งนั้น จึงโปรดให้จัดการรับเซอร์จอห์นเบาริ่งตามแบบอย่างครั้งสมเด็จพระนารายณ์รับราชทูตฝรั่งเศส มิให้ใช้แบบแผนซึ่งเคยถือเป็นตำราแขกเมืองในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์ กระแสพระราชดำริไปตรงกับความหมายของเซอร์จอห์นเบาริ่งเหมือนอย่างว่า รู้เท่าทันกันก็ไม่มีข้อที่จะเกิดเป็นปากเสียงเกี่ยงงอนกันด้วยเรื่องการรับรองราชทูตอังกฤษในครั้งนั้น ถึงเซอร์จอห์นเบาริ่งได้ชมไว้ในหนังสือที่แต่งว่า เมื่อราชทูตอังกฤษเข้ามาคราวนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับรองพระราชทานเกียรติยศเหมือนอย่างครั้งราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๔ เข้ามาเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ โดยพระราชหฤทัยนิยมในทรงพระราชไมตรีจะได้มีกับสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียดังนี้ เรื่องต้นเหตุของหมายรับสั่งซึ่งพิมพ์ในสมุดเล่มนี้ มีเนื้อความดังแสดงมา
 
ข้าพเจ้าขออนุโมทนากุศลบุญราศีทักษิณานุปทาน ซึ่งจางวางตรีพระยาไกรเพ็ชรรัตนสงคราม ได้บำเพ็ญในการปลงศพคุณหญิงชิดผู้ภรรยา แลได้พิมพ์หนังสือเรื่องนี้ให้ได้อ่านกันแพร่หลาย  หวังใจว่าท่านทั้งหลายที่ได้รับแจกไปคงจะอนุโมทนาด้วยทั่วกัน
 
ดำรงราชานุภาพ สภานายก
หอพระสมุดวชิรญาณ
วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๓
 

เหรียญกล้าหาญจากพระราชินีอังกฤษ (ควีนวิกตอเรีย) เป็นบำเน็ญความชอบแก่กองทัพอังกฤษที่สามารถบุกยึดป้อมต้ากู่ (Taku Forts)
ได้ในช่วงสงครามฝิ่นครัง้ที่ ๒ ตอกย้ำการสนับสุนของรัฐบาลอังกฤษให้ถล่มเมืองจีนเป็นการสั่งสอน
 
รัชกาลที่ ๔ ทรงยับยั้งสงคราม
เป็นธรรมดาอยู่เองที่อังกฤษซึ่งกำลังแสวงหาอาณานิคมอยู่ทั่วโลก ต้องขัดเคืองกับการที่สยามตอบปฏิเสธร่างสนธิสัญญาของเซอร์เจมส์ บรุ๊ค โดยไม่นึกหวาดหวั่นอิทธิพลของตน หากอังกฤษลงมือทำการรุนแรงโดยใช้พละกำลังเหมือนอย่างทำกับอาณานิคมอื่นๆ แล้ว สยามก็ยากที่จะปกป้องคุ้มครองเอกราชไว้ได้ ถ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยึดพระราชวิเทโศบายตามแบบเดิมอยู่ ชะตาของประเทศสยามก็คงจะพบจุดจบอย่างเดียวกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง เพราะตลอดระยะที่ชาวตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษ ใช้ความพากเพียรพยายามจะติดต่อค้าขายกับสยามตอนต้นสมัยรัตนโกสินทร์ ได้พบแต่ทีท่าที่เฉยเมยไม่เต็มใจจะเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอมา
 

คู่ปรับตลอดกาล (ซ้าย) เย่หมิงเจิ้นเจ้าเมืองกวางตุ้งผู้ต่อต้านการคุกคาม
และคำขู่ของเซอร์จอห์น (ขวา) ทำให้เมืองกวางตุ้งถูกถล่มอย่างไม่ปรานี
 

ทหารบนเรือรบอังกฤษเตรียมปืนใหญ่ก่อนใช้ถล่มเมืองกวางตุ้ง
ในสงครามฝิ่นครั้งที่ ๒ เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อังกฤษอย่างเปิดเผย
 
 ความพยายามของต่างประเทศในการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีกับสยามยังได้ผลไม่เป็นที่พึงพอใจนัก เพราะท่าทีของสยามอาจจะเรียกได้ว่าไม่สู้ยินดียินร้าย แม้จะไม่คัดค้านการติดต่อ แต่ในเวลาเดียวกันก็มิได้ทำสิ่งใดที่จะส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ สัญญาที่เคยทำไว้กับ เฮนรี่ เบอร์นี่ และเอ็ดมันด์ โรเบิร์ต สยามก็มิได้เปิดโอกาสให้ได้สิทธิพิเศษในการค้าเหมือนดังที่ผู้แทนมหาอำนาจทั้งสองได้รับจากจีน สิ่งที่ทำให้ชาวตะวันตกเอือมระอาสยาม  ได้แก่ ความยากลำบากและความไม่สะดวกอย่างน่ารำคาญในทางการค้าขาย เพราะการผูกขาดของรัฐบาลย่อมไม่เปิดช่องว่างให้ชาติตะวันตกหาผลประโยชน์ได้เลย
 
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงไตร่ตรองชั่งน้ำหนักระหว่างอันตรายอันจะเกิดจากอิทธิพลของชาวอังกฤษ กับอันตรายอันจะเกิดจากความปรารถนาจะบีบคั้นของอังกฤษอยู่ก่อนแล้ว ด้วยพระปรีชาญาณสุขุมคัมภีรภาพ และก็ทรงมั่นพระทัยว่าอันตรายประการหลังเป็นมหันตภัยยิ่งใหญ่กว่า พระองค์จึงทรงเตรียมการไว้ต้อนรับราชทูตแห่งราชสำนักพระเจ้ากรุงอังกฤษอย่างโออ่าสมเกียรติยศ โดยได้ทรงออกหมายรับสั่งเรื่องต้อนรับเซอร์จอห์นนับตั้งแต่มาถึงจนกลับออกไปถึง ๑๘ ฉบับ พิธีการเตรียมรับรองนี้หากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงยกย่องให้เป็นการมโหฬารแล้ว ก็น่าที่จะสร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่เซอร์จอห์น เป็นต้นเหตุทีเดียว เพราะเซอร์จอห์นเองก็จับตาดูท่าทีของฝ่ายสยามอยู่อย่างพินิจพิจารณา และเคยเปิดเผยแผนการของตนแก่ แซมมวล เรโนลด์ เฮาส์ มิชชันนารีอเมริกันซึ่งพำนักอยู่ในประเทศสยามในขณะนั้นว่า “ข้าพเจ้ามาพร้อมด้วยกิ่งมะกอกในมือ แต่ทว่าเบื้องหลังข้าพเจ้านั้น”
 

กองทัพผสมอังกฤษ-ฝรั่งเศส โรมรันพันตูกันหน้าประตูเมืองปักกิ่ง ระหว่างเกิดสงครามฝิ่นครั้งที่ ๒ ค.ศ. ๑๘๖๐ ซึ่งจีนพ่ายแพ้อย่างย่อยยับอีกครั้ง

กองกำลังของชาติตะวันตกเดินทัพอย่างสง่างามเข้าสู่กรุงปักกิ่ง ภายหลังรบชนะจีน และรัฐบาลจีนยอมยกธงขาวไม่อาจต้านทานแสนยานุภาพของชาติตะวันตกได้อีกต่อไป
 
พระราชวิเทโศบายในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงกุมบังเหียนของบ้านเมืองให้ดำเนินไปบนแนวทางสายใหม่ที่นับได้ว่าเป็นเส้นทางอันพระองค์ทรงบุกเบิกขึ้นโดยเฉพาะนี้ ยังความพอใจแก่เซอร์จอห์นเป็นอย่างมาก เพราะมิเพียงแต่ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติเท่านั้น ทว่าการงานต่างๆ ซึ่งได้รับมอบหมายมาจากสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียให้มาติดต่อกับรัฐบาลสยามก็ดำเนินไปอย่างสะดวกราบรื่นเกินความคาดหมาย
 
คณะทูตของเซอร์จอห์น เบาริ่งได้กราบถวายบังคมลาแล่นเรือออกจากสันดอนเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ปีเดียวกัน
 
ขณะที่อยู่บนเรือ เพื่อกลับออกจากกรุงเทพฯ เซอร์จอห์นรีบเขียนจดหมายแจ้งข่าวดีไปยัง ท่านเอิร์ลแห่งคลาเรนดอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษในลอนดอน ความว่า
 
เรือรบหลวงแรตเตอร์ อ่าวสยาม
๒๕ เมษายน ค.ศ. ๑๘๕๕
เรียน ฯพณฯ
       ขณะนี้ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าได้เจรจาเรื่องสนธิสัญญากับรัฐบาลสยามแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าเงื่อนไขของสนธิสัญญาคงจะเป็นที่พึงพอใจของท่านทุกประการ และคงจะได้รับพระราชทานความเห็นชอบจากสมเด็จพระราชินี
        ข้าพเจ้าจะส่งรายงานความก้าวหน้าของการเจรจาติดต่อมายังท่านเป็นระยะๆ ซึ่งคงจะเป็นไปตามความมุ่งหมาย ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จเกินกว่าที่คาดหมายไว้ และจัดการได้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ซึ่งแทบไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ของชนชาติทางตะวันออกมาก่อนเลย ซึ่งไม่ต้องใช้แสนยานุภาพของกองทัพเรือ การขู่บังคับในเจรจาตกลงกันเลย เรื่องสำคัญทุกเรื่องประสบความสำเร็จทุกประการ
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
ขอแสดงความนับถือ
(ลงนาม) จอห์น เบาริ่ง
 
 
 

ภาพประวัติศาสตร์ ผู้แทนรัฐบาลอังกฤษและฝรั่งเศสอยู่ในเกี้ยวที่รัฐบาลจีน
ส่งมารับเพื่อไปลงนามในสนธิสัญญาเทียนสินสงบศึกสงครามฝิ่นครั้งที่ ๒
 
ใจความในจดหมายของเซอร์จอห์น มีประเด็นที่น่าสนใจ ๓ ประการด้วยกัน คือ
 
๑. เขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและเกินความคาดหมาย เซอร์จอห์นกำลังเปรียบเทียบสนธิสัญญาเบาริ่งกับสนธิสัญญานานกิงของรัฐบาลจีนที่อังกฤษต้องใช้เวลาทำถึง ๓ ปี และเป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามฝิ่นครั้งแรก จึงสำเร็จลงได้ ทั้งอังกฤษและจีนได้รับความเสียหายอย่างบอบซ้ำด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ในขณะที่สนธิสัญญาเบาริ่งให้เวลาเพียง ๑ เดือนเท่านั้นและเป็นไปโดยสันติวิธี
 
๒. ความสำเร็จของสนธิสัญญาเบาริ่ง เกิดขึ้นด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน และเป็นความเห็นชอบของทั้งคู่สัญญา ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับอังกฤษมาก่อนในเอเชีย ทุกครั้งที่อังกฤษได้ตกลงกับประเทศต่างๆ ก็ต้องใช้สงครามเป็นทางออกหาข้อยุติเรื่อยมา
 
๓. การทำสนธิสัญญาเบาริ่ง อังกฤษไม่ต้องใช้แสนยานุภาพในการขู่บังคับสยามทั้งๆ ที่ได้เตรียมเรือรบเข้ามาด้วย แต่ฝ่ายสยามไหวตัวทันจึงแก้เกมได้ทันท่วงที ประเด็นนี้ยังแสดงให้เห็นว่า อังกฤษไม่ได้มีความตั้งใจจริงที่จะใช้สันติวิธีกับชาวสยาม ดังที่เคยทำกับทุกประเทศที่ด้อยพัฒนา และอ่อนแอกว่าตนในการหาข้อตกลงต่างๆ
 
นอกจากจดหมายฉบับนี้แล้ว ในขณะที่คนอังกฤษกำลังระดมความคิดเห็นที่จะทำสนธิสัญญาเบาริ่งนั้น นายแฮร์รี่ ปาร์คส์ ผู้ช่วยของเซอร์จอห์น ยังได้แนะนำรัฐบาลอังกฤษให้ใช้สนธิสัญญาที่เคยทำกับเมืองจีนเป็นบรรทัดฐานในการสร้างเงื่อนไขกับทางราชสำนักสยาม ดังข้อความในจดหมายอีกฉบับหนึ่งลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๕๕ ความว่า
 
“เกี่ยวกับอำนาจทางศาลกงสุล ข้าพเจ้าเพียงแต่ขอเพิ่มเติมความคิดเห็นของข้าพเจ้าเกี่ยวกับเรื่องเดียวกันนี้ว่าเงื่อนไขเกี่ยวกับอำนาจทางศาลนี้ไม่เคยเป็นปัญหาในประเทศจีน และสนธิสัญญากับประเทศสยามก็เช่นเดียวกัน จึงไม่น่าจะมีอะไรแตกต่างไปจากสนธิสัญญาที่ทำกับจีน การกำหนดอำนาจหน้าที่ของกงสุลต่อคนในบังคับของอังกฤษในประเทศจีน ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งปรากฏอยู่ทั้งในสนธิสัญญานานกิง หรือในบทเพิ่มเติม และที่จะได้ตกลงกับประเทศสยามต่อไป”
 
 
THE ILLUSTRATED LONDON NEWS  ฉบับวันที่ 11 August 1855 ตีแผ่ความสำเร็จอย่างขาวสะอาด
และปราศจากการสู้รบขัดขืน (The peaceful victory) ที่อังกฤษสามารถทำให้ชาวสยามลงนาม
ในสนธิสัญญาเบาริ่งได้ (ลูกศรชี้) ทำให้ไม่ต้องเปลืองแรงเหมือนเหตุการณ์ที่เมืองจีนในระยะเดียวกัน
 

รูป เซอร์จอห์น เบาริ่ง ในวัยชราภายหลังเกษียณอายุราชการแล้วยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากรัชกาลที่ ๔
แต่งตั้งให้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ ดำรงตำแหน่งราชทูตพิเศษจากสยามประจำทวีปยุโรป
อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าสยามกับอังกฤษปรองดองกันได้อย่างแน่นแฟ้นและมิได้มีการหักหาญน้ำใจต่อกันและกันเลย
 
สรุป
การที่สนธิสัญญาเบาริ่ง (ค.ศ. ๑๘๕๕) มีเงื่อนไขคล้ายคลึงกับสนธิสัญญานานกิง (ค.ศ. ๑๘๔๒) แสดงถึงความสอดคล้องเชิงนโยบายที่รัฐบาลอังกฤษต้องการใช้หลักการเดิมที่เคยบีบคั้นจีนมาใช้กับสยามด้วยความจงใจ อังกฤษมิได้ให้ความสำคัญจากความแตกต่างของทั้ง ๒ ประเทศแต่อย่างใด ในทัศนะของเซอร์จอห์นจีนและสยามมีค่าเท่ากันและมิได้ต่างกันเลย
 
จะเห็นได้ว่ารัฐบาลสยามถูกบีบคั้นให้ลงนามในสนธิสัญญาเบาริ่งทั้งที่ไม่เต็มใจนัก เนื่องจากตระหนักถึงผลเสียหายที่อาจจะบังเกิดขึ้นหากขัดใจราชทูตอังกฤษ การที่เซอร์จอห์น เบาริ่ง สั่งให้เรือรบอังกฤษถล่มเมืองกวางตุ้งจนราบเป็นหน้ากลอง อุปมากับภาษิตที่ว่าเชือดไก่ให้ลิงดูและก็ดูจะได้ผลจริงๆ ในความคิดของเซอร์จอห์น
 
อีก ๑๖๐ ปีต่อมา ภายหลังสงครามฝิ่นนับถึงวันนี้ (ค.ศ. ๒๐๑๕) และหลังการลงนามในสนธิสัญญาเบาริ่ง สถานการณ์ก็กลับตาลปัตรไปหมด อังกฤษจนลง แต่จีนผงาดขึ้นมาเป็นชาติที่ร่ำรวยและมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่าอังกฤษ ทุกวันนี้รัฐบาลต้องบากหน้ามากว้านซื้อพันธบัตรเงินหยวนของจีนเพื่อเก็บไว้เป็นเงินคลัง และถ้าจีนลดค่าเงินหยวนเพียวนิดเดียว เมื่อใดเศรษฐกิจของอังกฤษก็อาจย่ำแย่ได้ในพริบตา
 
ในขณะเดียวกันไทยก็ผงาดขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่ในอาเซียน และจ่อที่จะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประชาคมอาเซียน (AEC) โดยมีจีนเป็นพี่เลี้ยงสำคัญ ไม่ต้องเกรงกลัวอังกฤษอีกต่อไป
 
ทว่า ใน ค.ศ. ๑๘๕๕ การที่เซอร์จอห์นนำเรือรบเข้ามาข่มขวัญถึงพระนครก็เพราะต้องการเผด็จศึกกับชาวเอเชียทั้งหมดแบบม้วนเดียวจบ โดยไม่แยแสถึงผลลัพธ์วันข้างหน้า ภาพเมืองกวางตุ้งถูกถล่ม ในหน้าหนังสือพิมพ์อังกฤษ เป็นกระจกเงาสะท้อนความบ้าคลั่งของคนอังกฤษในสมัยหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและศักดิ์ศรีอย่างบ้าบิ่น เดชะบุญสยามรอดมาได้เพราะผู้นำประเทศรู้ทันคนอังกฤษแท้ๆ
 
ข้อมูลจากหนังสือศิลปวัฒนธรรมปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ หน้า ๙๒-๑๑๕