50 ปี บุรุษแห่งศตวรรษ

 
 คุณพ่อสุรชัย ชุ่มศรีพันธุ์
 
        ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ปี ค.ศ. 1996 เป็นปีสมโภชครบรอบ 50 ปี ของบุรุษแห่งศตวรรษถึง 2 พระองค์ด้วยกัน และทั้งสองพระองค์นี้ก็เป็นบุคคลที่มีความหมายยิ่งต่อชาวเราคริสตังด้วย พระองค์แรกได้แก่ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราในโอกาสทรงครองราชย์ครบ 50 ปี ส่วนอีกพระองค์หนึ่งได้แก่ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการบวชเป็นพระสงฆ์ไม่ใช่เรื่องง่ายนักนะครับที่จะมีพระสงฆ์องค์ใดมีโอกาสฉลองการบวชเป็นพระสงฆ์ครบ 50 ปี ส่วนมากมักจะลาไปหาพระเสียก่อน และยิ่งยากกว่าอีกที่จะมีสมเด็จพระสันตะปาปาองค์ใดสามารถมีชีวิตอยู่จนฉลองการ บวชครบ 50 ปีได้ ผมเองยังไม่ได้ตรวจสอบทางประวัติศาสตร์ว่านี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตาม ต้องถือว่าเป็นเหตุการณ์พิเศษจริงๆ
       ดังนั้นการจัดงานสมโภชนี้ที่กรุงโรม จึงเป็นการจัดแบบพิเศษมากๆ ด้วย ถึงแม้ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาจะได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์วันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1946 แต่การจัดงานสมโภชก็ถูกกำหนดให้เป็นวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1996 เพื่อความเหมาะสม ผู้รับผิดชอบในการจัดงานสมโภชครั้งนี้ได้แก่ สมณกระทรวงว่าด้วยเรื่องนักบวช สมเด็จพระสันตะปาปาทรงถือโอกาสนี้เชิญชวนพระสงฆ์ร่วมรุ่นทุกองค์ทั่วโลกที่บวชครบ 50 ปี มาร่วมงานครั้งนี้ที่กรุงโรมด้วย ผมไม่ทราบตัวเลขที่แน่นอน แต่ที่ไปร่วมงานแน่ๆ ก็มีอยู่หลายร้อยองค์ด้วยกัน     มีทั้งพระสังฆราชและพระสงฆ์ ทำให้บรรยากาศของงานคึกคักมากขึ้น ผู้จัดงานสมโภชได้จัดให้มีความหมายเป็นพิเศษ ซึ่งผมจะขอเล่าโดยแบ่งออกเป็น 2 พวก  นะครับคือ 
      -  สำหรับพระสังฆราช และพระสงฆ์ทุกองค์ที่มีอายุบวชครบ 50 ปี
      -  สำหรับสมเด็จพระสันตะปาปา
       เรื่องที่จะเล่าก็คงจะเป็นเรื่องทั้งภายในและภายนอก ต้องยอมรับว่าเขาจัดงานใหญ่ระดับนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมมาก เพราะเป็นงานใหญ่จริงๆ ถือเป็นงานระดับโลกทีเดียว และผู้ที่มาร่วมงานก็มาจากทั่วทุกมุมโลกเลย งานนี้เริ่มกันตั้งแต่เวลาเย็นของวันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน เวลา 17:30 น. พระสงฆ์ทุกองค์ที่บวชครบ 50 ปี ได้ร่วมกันสวดทำวัตรเย็นพร้อมกับสมเด็จพระสันตะปาปาที่หอประชุมเปาโล ที่ 6 ผู้ไปร่วมงานท่านใดจะเข้าไปร่วมสวดด้วยก็ได้ แต่ต้องไปซื้อบัตรเข้าในราคา 20,000 ลีร์ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 340 บาท พระสงฆ์ที่มีอายุบวชครบ 50 ปี ได้ถวายของขวัญแด่สมเด็จพระสันตะปาปา และพระองค์ก็ได้ประทานผ้าสตอลา (Stola) เป็นของขวัญตอบแทนทุกองค์   วันต่อมามีการแบ่งปันชีวิตสงฆ์ และแบ่งกลุ่มไปทำพิธีกรรมตามมหาวิหารต่างๆ ในกรุงโรม และแบ่งเป็นกลุ่มภาษาต่างๆ 
       วันเสารที่ 9 พฤศจิกายน ก็เช่นเดียวกัน ต้องถือว่าเป็นการเข้าเงียบครั้งใหญ่และสง่างามที่สุดของบรรดาพระสงฆ์ที่บวชครบ 50 ปี
      วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน เป็นวันสมโภชในมหาวิหารนักบุญเปโตร สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเป็นประธานในพิธีบูชามิสซาสมโภช พร้อมกับคาร์ดินัล พระสังฆราช พระสงฆ์ รวมทั้งบรรดาคริสตชนที่มาร่วมงาน  พิธีมิสซาเริ่มตั้งแต่เวลา 9:30 น. ในวันนั้นมีการจัดตกแต่งประดับประดามหาวิหารอย่างสวยงามเป็นพิเศษ ภายในสว่างไสวไปด้วยโคมไฟ มีผู้มาร่วมในพิธีสมโภชกันอย่างเนืองแน่นจนล้นมหาวิหาร มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ คอยอำนวยการและอำนวยความสะดวกมากมาย มีการจัดพิมพ์หนังสือคู่มือมิสซาแจกสำหรับผู้มาร่วมในพิธีด้วย สมเด็จพระสันตะปาปานั้น ถึงแม้พระองค์จะมีพระชนมายุถึง 76 ปีแล้ว พระองค์ก็ยังดูแข็งแรงพอสมควร แม้ว่าจะเพิ่งหายจากทรงพระประชวรเนื่องจากการผ่าตัดมาเมื่อเร็วๆ นี้ก็ตาม  แต่พระองค์ก็ยังดูเปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อนมากอันเนื่องมากจากความชราภาพนั่นเอง 
      พิธีมิสซาครั้งนี้ ผู้มาร่วมพิธีส่วนหนึ่งต้องอยู่ที่ลานมหาวิหารเนื่องจากภายในมหาวิหารเต็มจนไม่มีที่ว่าง ส่วนที่ลานมหาวิหารนั้นก็มีคนล้นหลามไม่แพ้กัน เจ้าหน้าที่ได้จัดทีวีจอยักษ์ 2 เครื่อง ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของลานมหาวิหาร ทำการถ่ายทอดสดให้ได้ชมกันตลอดเวลา ผมมองไปรอบๆ ก็เห็นบรรดาพระสงฆ์ ซิสเตอร์ กลุ่มกิจกรรมคาทอลิก คริสตชนจากประเทศต่างๆ อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หลายกลุ่มถือป้ายถวายพระพรแด่สมเด็จพระสันตะปาปาเป็นภาษาต่างๆ  ดูแล้วเหมือนงานมหกรรมอะไรสักอย่าง มีบอลลูนลอยอยู่ด้านหน้ามหาวิหาร เขียนตัวอักษรขนาดยักษ์ถวายพระพรแด่สมเด็จพระสันตะปาปาด้วย 
      ที่ลานมหาวิหารนี้เองจะมีรายการที่น่าสนใจหลังพิธีมิสซาคือ สมเด็จพระสันตะปาปาจะปรากฏพระองค์ที่ระเบียงกลางมหาวิหาร เพื่อสวดพรหมถือสารพร้อมกับคริสตชนทุกคน ดังที่พระองค์ทรงปฏิบัติเป็นประจำทุกเที่ยงวันอาทิตย์ พวกเราลองหลับตานึกภาพดูนะครับว่า เมื่อพิธีมิสซาจบลงแล้ว ฝูงชนจำนวนมากซึ่งอยู่ภายในมหาวิหารต่างทะยอยกันออกมาสมทบกับอีกกลุมหนึ่งซึ่งอยู่ที่ลานมหาวิหาร ทำให้ผู้คนแน่นขนัดไปหมดจนลานมหาวิหารดูคับแคบไปถนัดตาเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาทรงปรากฏพระองค์ ทุกคนต่างก็ปรบมือพร้อมกัน จนมีเสียงดังกึกก้องไปหมด บางกลุ่มก็พยายามตะโกนเพื่อให้เสียงของตนดังไปถึงสมเด็จพระสันตะปาปา ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก อบอุ่น และเต็มไปด้วยความสุขเป็นอย่างยิ่ง สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสขอบใจทุกคนที่มาร่วมงานนี้ จะทรงระลึกถึงบรรดาพระสงฆ์ทุกองค์เป็นพิเศษ และทรงปรารถนาให้พระสงฆ์ทุกองค์ทำหน้าที่ต่างๆ ตามกระแสเรียกของตน หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงนำสวดพรหมถือสาร และทรงอวยพระพร จบแล้ววงออร์แคส ตาร์จากสถานีวิทยุโทรทัศน์อิตาเลียนบรรเลงเพลงต่างๆ สะกดผู้ที่อยู่ ณ ลานมหาวิหารให้สงบนิ่ง วงดุริยางค์ของกรมตำรวจอิตาเลียนบรรเลงเพลงชาติอิตาเลียนและเพลงมาร์ของวาติกัน สมเด็จพระสันตะปาปาทรงปล่อยนกพิราบ 5 ตัว (ผมว่าน่าจะปล่อยสัก 50 ตัวมากกว่า) ส่วนที่เหลือได้ให้พระสงฆ์องค์อื่นๆ เป็นผู้ปล่อยบ้าง  ปิดท้ายงานสมโภชครั้งนี้ด้วยการรับประทานอาหารร่วมกันระหว่างสมเด็จพระสันตะปาปา และพระสงฆ์นักบวชที่มาร่วมงาน 
       ไม่ว่าจะบรรยายอย่างไร ก็คงไม่สามารถมองเห็นบรรยากาศของงานสมโภชได้ดีเท่ากับได้ไปสัมผัสเอง  แต่ก็พอที่จะทำให้เราสังเกตได้ว่า ทุกคนรักและห่วงใยองค์สมเด็จพระสันตะปาปา มีโปสเตอร์ และใบปลิวจำนวนมาก เขียนข้อความว่า "ขอบคุณพระองค์ที่ทรงอุทิศชีวิตทั้งหมดของพระองค์ รับใช้เรามา" มีการเชิญชวนให้ทุกคนสวดสายประคำเพื่อสมเด็จพระสันตะปาปาก่อนหน้านี้แล้ว อีกประการหนึ่งคือ ทุกฝ่ายร่วมมือกันจัดงานนี้อย่างสมพระเกียรติจริงๆ สมกับเป็นงานแห่งประวัติศาสตร์งานหนึ่งที่ควรค่าแก่การจดจำ
       ภารกิจของสมเด็จพระสันตะปาปายังมีอีกมาก พระองค์กำลังเตรียมงานสมโภชปี ค.ศ. 2000 ให้เป็นปีศักดิ์สิทธิ์ งานนี้มีความสำคัญมากและพระองค์ยังมีภาระอีกมากมายที่ต้องทำ ขอให้พวกเราทุกคนช่วยกันสวด ภาวนาเพื่อสมเด็จพระสันตะปาปาของเราให้มากๆ เพื่อให้พระองค์ทรงสามารถสืบต่องานของพระศาสนจักรจนสำเร็จไปในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์เถิด.