ขนมธรรมเนียมและประเพณีของชาวสยาม

                    เขียนโดย ... บาทหลวง ฌอง เดอ บูรช์  (Jean de Bourges)

ชาวสยามมีรูปร่างได้สัดส่วน มีผิวสีมะกอกน้ำและไม่ดำ แม้จะอยู่ในเขตร้อนจัด มีจมูกสั้นกว่าของชาวยุโรป โดยธรรมชาติมีนิสัยอ่อนโยน โอบอ้อมอารีกับชาวต่างชาติแม้ไม่รู้จักก็ตาม ชาวสยามชอบการพักผ่อนและจะทำงานเมื่อจำเป็นเท่านั้น ผู้ที่รับจ้างทำงานจะถูกเหยียดหยาม พวกเขาจะใช้ทาสทำงานแทนตนเท่านั้น คติที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาคือ มีรายได้น้อยแต่ได้พักผ่อน อยู่อย่างยากจนและราบเรียบ มีความสุขกว่าอยู่อย่างมั่งคั่งแต่เต็มไปด้วยความกังวลใจ เราอาจกล่าวถึงชาวสยามเช่นที่นักปราชญ์เขียนไว้ในปัญญาจารย์บทที่ ๔ ว่า  “ความสงบสุขกำมือหนึ่งยังดีกว่าการทำงานที่ต้องตรากตรำสองกำมือ และการกินลมกินแล้ง” เครื่องนุ่งห่ม  เครื่องเรือน  บ้าน  และอาหารของชาวสยาม แสดงให้เห็นถึงความยากจนนี้ พวกเขาเดินเท้าเปล่าและไม่สวมหมวก  ส่วนเจ้านายชั้นสูงและคนมั่งมีจะขี่ช้างหรือนั่งเรือที่สะดวกสบายมาก และใช้ร่มทำด้วยผ้าฝ้ายขัดมัน บังศีรษะ เครื่องนุ่งห่มมีราคาไม่แพงนัก  คือใช้ผ้าขาวบางผืนเดียวหรือผ้าแต้มดอกฉูดฉาดสีต่างๆ พันรอบร่างกาย  เหมือนเช่นที่ใช้ผ้าเช็ดตัวพันรอบศีรษะ เมื่อออกนอกบ้าน พวกเขาจะใส่เสื้อคลุมแขนสั้นแต่กว้าง ทำด้วยผ้าเบาและโปร่งใสยาวถึงเข่าคลุมไหล่ ผู้หญิงแต่งตัวเกือบคล้ายผู้ชาย มีการโกนผมและถอนหนวด ชาวสยามสะอาดจึงอาบน้ำบ่อยๆ และประพรมตัวด้วยน้ำอบหอม  ในงานพิธีนิยมแต่งกายด้วยผ้าไหมปักฉลุทองและเงิน

บ้านเรือนของสามัญชนมีลักษณะง่ายๆ สร้างด้วยไม้และใบไม้ ฝาบ้านทำด้วยไม้ไผ่มัดติดด้วยเชือก มีหน้าต่างน้อยมาก บ้านจะยกพื้นขึ้นสูงโดยใช้ตอม่อเพื่อป้องกันน้ำท่วม ที่มักเกิดขึ้นอยู่ทุกปี ส่วนคนมั่งมีจะสร้างตึกแข็งแรงก่ออิฐมุงหลังคา เครื่องเรือนมีเพียงเสื่อและหมอน ไม่นิยมมีเก้าอี้ โต๊ะ เตียง พรม โต๊ะลิ้นชักหรือรูปภาพ แต่ถ้าบ้านใดมีเครื่องเรือนมากก็เป็นที่ยอมรับว่าบ้านนั้นร่ำรวย ชาวสยามค่อนข้างสะอาด อาหารพื้นบ้านประกอบด้วยข้าว และผลไม้ที่มีอยู่อุดมสมบูรณ์ในประเทศ รวมทั้งไก่ เนื้อวัวและเนื้อสัตว์ป่า แต่เพราะเชื่อกันว่าการฆ่าสัตว์ คือ ความชั่ว  จึงไม่นิยมกินเนื้อสัตว์  ซึ่งไม่เพราะเชื่อว่ากินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้วเป็นบาป แต่เชื่อว่าฆ่าเพื่อกินคือบาป อย่างไรก็ตามในอาณาจักรสยามปรากฏว่ามีบางคนละเมิดกฎแห่งความเชื่อนี้ โดยไม่เกรงกลัวบาป  ที่ฆ่าสัตว์ ดังนั้น จึงมีเนื้อสัตว์วางขายอยู่พอสมควร และชาวสยามไม่ปฏิเสธที่จะกิน โดยยอมมีส่วนทำบาปเช่นเดียวกับพี่น้องร่วมชาติของตน

ชาวสยามไม่ตะขิดตะขวงใจเรื่องการกินปลา เพราะถือว่ามิได้ฆ่าปลาด้วยวิธีโหดร้าย เช่นที่ทำกับสัตว์อื่นโดยใช้เหล็กทะลวงเข้าไปจนถึงตับไตไส้พุงมีเลือดพุ่ง และมีเสียงร้องอย่างน่าเวทนา แต่ปลาจะถูกจับโดยใช้สวิงหรืออวนและปล่อยให้ตายไปเอง นี่คือการให้เหตุผลของชาวสยาม

ตามหลักการของชาวสยาม ปลาเป็นอาหารธรรมดาที่สุด รสอร่อยและมีอยู่มากมาย เพราะมีแม่น้ำใหญ่หล่อเลี้ยงประเทศอยู่หลายสาย

เครื่องดื่มของชาวสยามคือน้ำบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามมีการทำเหล้าจากข้าวเจ้า โดยใช้ใบไม้ที่เรียก nipre มีกลิ่นฉุนมาก หมักให้บูดเปรี้ยวในน้ำ น้ำชนิดนี้ทำให้มึนเมาได้เหมือนเหล้า

ช่วงที่พำนักอยู่ในสยาม เมื่อรับประทานอาหาร ซึ่งโดยทั่วไปคือปลา เสร็จแล้ว พวกเราจะดื่มน้ำชาที่มักร้อนจัด โดยใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อย น้ำชาจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาก ในประเทศที่มีอาการร้อนและกระเพาะอาหารต้องต่อสู้กับอาหารที่ไม่มีคุณภาพ เราอาจตั้งข้อสงสัยได้ว่า ชาวสยามชอบดื่มไวน์หรือดื่มน้ำชามากกว่ากัน แต่อย่างไรก็ตามชาวสยามนิยมดื่มน้ำชากันมาก ซึ่งมีคุณลักษณะที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้มึนเมา แต่แตกต่างจากการดื่มไวน์ ซึ่งถ้าดื่มมากเกินไปทำให้ขาดสติ  แต่สำหรับน้ำชาแล้ว จะทำให้สมองปลอดโปร่งและขจัดความมึนงงได้

เราใช้ชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ ในประเทศสยาม ชาวสยามมีนิสัยอ่อนโยนและชอบการพักผ่อน นอกจากนี้ ทุกคนต่างมีเสรีภาพมากในการเลือกนับถือศาสนาและในการเลือกทำการค้าขาย ด้วยเหตุนี้จึงมีชาวต่างชาติเข้ามาในสยามมากมาย บ้างเข้ามาในฐานะช่างฝีมือ บ้างมาติดต่อการค้า และบ้างก็มาเพื่อการท่องเที่ยว ข้าพเจ้าตั้งข้อสังเกตได้ว่าหากชาวฝรั่งเศสที่ทำการค้าอยู่ ต้องการตั้งถิ่นฐานในสยามแล้วก็อาจส่งช่างฝีมือทุกประเภทเข้ามาได้จำนวนมาก โดยพวกเขาจะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและทำเงินให้มากมายอย่างแน่นอนหากขยันขันแข็งและไม่อวดดี

ชาวสยามไม่ฝึกฝนการใช้อาวุธ การขี้ม้า หรือการเต้นรำให้คล่องแคล่วขึ้นเลย ไม่มีการศึกษาปรัชญา การแพทย์ หรือคณิตศาสตร์ แต่เรื่องเทวะวิทยาของเขา ประกอบด้วยนิทาน 2-3 เรื่อง ศาสตร์ของชาวสยาม คือ เขียนให้ได้ดี และรู้กฎหมายของรัฐ รวมทั้งกฎแห่งความยุติธรรม  แทนที่จะใช้หลักการทางแพทย์ที่ฝึกฝนให้ชาวสยาม กลับใช้ยาหลายอย่างสำหรับรักษาโรคทั่วไป ซึ่งปรากฏว่าค่อนข้างได้ผล พวกเขาจะหันไปพึ่งพาเรื่องไสยศาสตร์ก็ต่อเมื่อยานั้นใช้รักษาโรคได้ ทั้งไม่พยายามค้นหาว่าไสยศาสตร์นี้คืออะไร แต่จะใช้การติดต่อกับวิญญาณด้วยคำพูดลี้ลับต่างๆ มีกระดาษหรือรูปภาพติดอยู่ทั่วไป ชาวสยามสนใจใคร่รู้เรื่องอนาคต จึงมักตกเป็นเหยื่อพวกที่อ้างว่ามีความชำนาญในการทำนายเหตุการณ์ในอนาคตอยู่เสมอ

ตัวหนังสือของสยามคล้ายกับของเราทั้งลักษณะตัวอักษร จำนวนอักษรและวีธีเรียงคำ ซึ่งเรียงจากซ้ายไปขวา ชาวสยามเขียนหนังสือด้วยดินสอลงบนกระดาษ ซึ่งบางครั้งทากาวติดไว้บนใบไม้หนึ่งหรือสองใบ หนังสือเล่มใหญ่อาจทำมาจากกระดาษเพียงแผ่นเดียวที่มีความยาวหลายโอนได้โดยสามารถพับไปมาคล้ายกับบังตาห้องนอนของเรา

สยามเป็นประเทศราชาธิปไตยและมีการปกครองดี พระมหากษัตริย์ทรงพระราชอำนาจในการปกครองโดยสิทธิ์ขาด ถ้าพระองค์ทรงเรียกเหล่าเสนาบดีและขุนนางมาประชุมเกี่ยวกับเรื่องการงาน นั่นเป็นเพียงเพื่อปรึกษาหรือแสดงพระประสงค์ของพระองค์ให้ทุกคนรับรู้และปฏิบัติตามด้วยความขยันหมั่นเพียรและจงรักภักดีต่อพระองค์

โดยทั่วไปผลประโยชน์ของรัฐ ขึ้นอยู่กับการที่ราษฎรยินยอมอยู่ใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์ของตนมากน้อยเพียงใด พระมหากษัตริย์จะทรงแสดงพระประสงค์ของพระองค์ต่อบรรดาขุนนางที่ปรึกษา ผู้ซึ่งจะเสนอต่อเจ้าผู้ครองมณฑลต่างๆ ต่อไป เจ้าผู้ครองมณฑลมีหน้าที่แจ้งต่อบรรดานายทหารชั้นผู้น้อย ผู้ซึ่งจะแจ้งต่อหัวหน้าที่รียก นายจ่า (Naja) ต่อไปอีก นายจ่าแต่ละคนเป็นเหมือนหัวหน้าของกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความพอใจของนายจ่า นายจ่าต้องรับผิดชอบผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ ซึ่งจะมอบความนับถือให้แก่ตนเป็นการทดแทน รัฐบาลสยามดูค่อนข้างมีระเบียบ และแสดงการใช้อำนาจอย่างค่อนข้างเด็ดขาด แต่ละคนต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนและไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น หัวหน้าชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องจะถูกผู้มีอำนาจเหนือกว่าที่ขยันขันแข็งว่ากล่าวตักเตือนหรือมิฉะนั้นก็หาผู้อื่นมาทดแทน

สรุปให้ถูกต้อง คือ ผู้ที่อยู่บังคับบัญชาของใครก็ตาม ต้องเชื่อฟังผู้นั้นเยี่ยงทาส  แต่ละคนรายงานตัวต่อผู้มีอำนาจเหนือกว่า อย่างไรก็ตามทุกคนขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์เป็นลำดับขึ้นไป  มีสองสิ่งที่ช่วยให้การปกครองประเทศเป็นไปด้วยดี คือ ประการแรก ขุนนางทุกคนจะถูกถอดถอนจากตำแหน่งเมื่อใดก็ได้ตามแต่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงแต่ตั้งจะทรงพอพระทัย สิ่งนี้เองที่ทำให้ทุกคนคิดปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด อีกประการหนึ่งคือ ในการแบ่งสรรภาระหน้าที่โดยทั่วไปจะพิจารณาจากคุณงามความดี งานและการปฏิบัติหน้าที่ที่ให้  โดยไม่ถือตามชาติกำเนิด สิ่งนี้ให้แต่ละคนพยายามปฏิบัติตนให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ ชาวสยามเคารพและเชิดชูพระมหากษัตริย์มาก โดยไม่ไตร่ตรองจนเกินขอบเขตที่สัตว์โลกทั้งหลายพึงกระทำ  พระองค์เปรียบประดุจพระเจ้า พวกเขาจะต้องคุกเข่าพูดกับพระองค์โดยมือทั้งสองประสานกันยกขึ้นสูงเหนือศีรษะ ซึ่งเป็นเครื่อง หมายแสดงความนับถือสูงสุด  ทุกคนจะต้องหมอบราบก้มหน้าลงกับพื้น โดยไม่กล้าเผชิญหน้ากับพระองค์ เพราะถือว่าพระองค์เป็นเจ้าแห่งกษัตริย์ เจ้าแห่งทวยเทพ เจ้าแห่งน้ำ เจ้าแห่งโลก ผู้เป็นใหญ่แห่งทะเล ตุลาการแห่งความสุขและเคราะห์กรรมของมวลมนุษย์ นี่คือการยกย่องพระมหากษัตริย์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของเหล่ามนุษย์ แต่คุณสมบัติเหล่านี้มิใช่คุณสมบัติแท้จริงของพระเป็นเจ้า ศาสนาคริสต์เองให้มนุษย์รู้จักถ่อมตนมากกว่าจะนำพระบัญชาของพระองค์มาสู่พสกนิกร โดยให้ทุกคนเชื่อฟังเจ้าผู้ครองประเทศของตน ในเวลาเดียวกันสอนให้บรรดาเจ้าผู้ครองประเทศเกรงกลัวพระเป็นเจ้า และรำลึกว่าตนเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งรับมอบอำนาจจากพระเป็นเจ้า ให้ทำหน้าที่ผู้นำ เพื่อนำความสุขสบายมาสู่ประชาชนที่ตนรับผิดชอบ

สิ่งที่ช่วยให้ชาวสยามมีความนับถือองค์พระมหากษัตริย์มากยิ่งขึ้น คือ การที่พระองค์เสด็จออกให้ประชาชนชื่นชมพระบารมีนานๆ ครั้ง เฉพาะโอกาสงานพิธีเท่านั้น และอย่างหรูหรามโหฬาร ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยปกติพระองค์จะเสด็จออกเพียงปีละ ๒ ครั้ง คือ ครั้งหนึ่งทางสถลมารค และอีกครั้งหนึ่งทางชลมารค ภายในบริเวณพระราชสำนักจะถูกตกแต่งประดับประดาอย่างงดงามเลอเลิศ ในการเสด็จทางสถมารค พระองค์จะทรงประทับบนหลังช้างในสิวิกากาญจน์ประดับด้วยเพชรนิลจินดา  มีผู้ติดตามจำนวนมากถึง ๑๐,๐๐๐ คน  แต่การเสด็จออกที่หรูหรามากที่สุด คือ การเสด็จทางชลมารค ประกอบด้วย ขบวนเรือติดตามจำนวน ๓-๔๐๐ ลำ หุ้มทองทั้งภายในและภายนอก เรือแต่ละลำมีฝีพายประมาณ ๓๐-๔๐ คน  ซึ่งบางคนตรงบริเวณแขนและไหล่หุ้มทอง ฝีพายเหล่านี้จะพายเรือฝ่าคลื่นลมด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อ ริมฝั่งแม่น้ำกึกก้องด้วยเสียงคลื่นที่ไปกระทบและเสียงจังหวะของฝีพายมาแต่ไกล

เรือพระที่นั่งของพระมหากษัตริย์ ประดับประดาด้วยทองคำละเอียดจนถึงใต้ท้องเรือ ส่วนบนจะยกบัลลังก์งดงามขึ้นสูง พระองค์ทรงฉลองพระองค์มีค่ามาก ทรงมงกุฎทองคำแท้ซึ่งตกแต่งด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ ที่มงกุฎมีปีกทำด้วยทองห้อยอยู่ ๒ ข้าง ซึ่งปีกนี้จะกระทบพระอังสะของพระองค์อยู่ตลอดเวลา บรรดาขุนนางและนายทหารประจำพระองค์ตามเสด็จ แต่ละคนนั่งอยู่ในเรือตกแต่งบรรดาศักดิ์ ความสามารถและภาระหน้าที่ของตน  ริมฝั่งสองเต็มไปด้วยผู้คนล้นหลาม  ซึ่งส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความปิติยินดี นอกจากนี้พระองค์ยังเสด็จมาร่วมงานพิธีของวัดมีชื่อเสียงด้วย เพื่อประทานของกำนัลแก่พสกนิกรผู้เสียสละทรัพย์ทำนุบำรุงพระศาสนา และเพื่อมิให้ดูเป็นผู้มีศรัทธาในพระศาสนาน้อยกกว่าพระจักรพรรดิโอกุส จุดมุ่งหมายและผลที่ต้องการจากการเสด็จร่วมงานในครั้งนี้ คือ เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนให้จงรักภักดีต่อพระองค์พระมหากษัตริย์ โดยเชื่อว่าประชาชนคงต้องการเห็นความหรูหรา มโหฬาร และแสดงความนับถือรวมทั้งยอมอยู่ใต้อำนาจของพระองค์อย่างแน่นอน

ข้าพเจ้าจะพูดถึงเรื่องเงินตราสักเล็กน้อย เงินตราของสยามมีอยู่มากมายและเงินโดยทั่วไปเป็นเงินอย่างดี ลักษณะเกือบกลมและประทับตราของพระมหากษัตริย์ไว้ที่มุมเหรียญ เรียกว่าเงินนี้ว่า  บาท (Ticals)  มีค่าเท่ากับ ๓๗  ซูส์ฝรั่งเศส

มีเงินเหรียญอีกชนิดหนึ่ง เรียกกว่า มายน (Mayon)  มีค่าเท่ากับครึ่งบาท นอกจากนี้ชาวสยามยังมีเงินเฟื้อง (Fouants) มีค่าเท่ากับครึ่งมายน  (mayon) ด้วย และเงิน Sampaya ซึ่งมีค่าครึ่งเฟื้องเงินตราเหล่านี้ ทำด้วยเงินแท้

เราเคยตั้งข้อสังเกตแล้วว่า ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาในราชอาณาจักรได้อย่างง่ายดาย โดยเพิ่มตั้งถิ่นฐานและใช้ชีวิตอยู่ใต้กฎหมายของสยาม หรือเพื่อทำการค้าและงานฝีมือต่างๆ  ที่พวกเขาเชี่ยวชาญ ข้าพเจ้าจะเพิ่มเติมว่าจะไม่ถูกรบกวนใดๆ  เลยหากไม่ละเมิดกฎของรัฐ และอำนาจหน้าที่ของพระมหากษัตริย์และเพื่อป้องกันมิให้ความวุ่นวายซึ่งชาวต่างชาติอาจก่อให้เกิดขึ้นได้ ได้มีการแต่งตั้งหัวหน้าในกลุ่มชนแต่ละชาติที่ค่อนข้างสำคัญ ซึ่งบุคคลนั้นต้องเป็นที่ยอมรับจากทุกคนในชาติของเขา นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ยังแต่งตั้งขุนนางจากราชสำนักหรือจากบรรดานายทหารขึ้นมาคนหนึ่งทำหน้าที่ปกครองหรือเป็นผู้ดูแลพิเศษประจำชนชาตินั้นๆ หัวหน้าของแต่ละชาติต้องต่อขุนนางผู้นี้ทั้งนี้เพื่อรับทราบพระประสงค์ของพระมหากษัตริย์เกี่ยวกับคำร้องขอที่พระองค์เสนอให้ หรือเพื่อประโยชน์และภารกิจเกี่ยวกับชนชาติ เนื่องจากมีลำคลองตัดผ่านหลายสายทำให้เมืองสยามถูกแบ่งออกเป็นเกาะหลายเกาะ จึงมีการจัดหาสถานที่ให้กับชนแต่ละชาติไว้บนเกาะหรือเขตแบ่งแยกบางแห่ง ทั้งนี้เพื่อให้การวิวาทที่มักเกิดขึ้นระหว่างชนชาติต่างๆ ที่อยู่ปะปนกันและมีความเกลียดชังกันโดยธรรมชาติลดน้อยลง นอกจากนี้ยังมีการบังคับให้ชาวต่างชาติทุกคนที่คุ้นเคยกับประเทศสยามทำการสาบานตนถวายความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ทุกๆ ปี  ในวันสมโภชสำคัญ พิธีนี้จะมีนายทหารจากราชสำนักและชาวต่างชาติเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน พระมหากษัตริย์จะเสด็จขึ้นบนบัลลังก์รับการสาบานตนครั้งนี้ แต่ละคนจะเข้าสาบานตัวตามลำดับชั้น หลังจากนั้นให้ดื่มน้ำที่พวกเขาเรียกกันว่าน้ำพิพัฒสัตยา ซึ่งถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์และจะมีผู้ที่อุทิศตน จัดการกับเรื่องผีสางเทวดาประกอบพิธีที่เต็มไปด้วยความเชื่องมงาย เป็นผู้ตระเตรียมน้ำพิพัฒสัตยาไว้ให้ผู้ประกอบพิธีเหล่านี้จะเอาปลายดาบจุ่มลงในน้ำพร้อมกับสาปแช่งผู้ที่กล่าวสาบานเท็จโดยเชื่อว่าทุกคนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์อย่างจริงใจ จะต้องพินาศถึงชีวิตและรู้สึกอึดอัดในทันทีทันใดหลังจากดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้แล้ว เราอาจสรุปได้ว่าพวกเขาทั้งหมดจริงใจหรือน้ำสาบานนี้มีคุณภาพน้อย เพราะว่าเราไม่เคยเห็นใครตายหลังจากดื่มน้ำสาบานนี้เลย.

จากหนังสือจดหมายเหตุการณ์เดินทางของพระสังฆราชแห่งเบริธ
ประมุขมิสซัง สู่อาณาจักรโคจินจีน
กรมศิลปกรจัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓o