การเข้ามาของพวกโปรตุเกส กับศาสนาคริสต์

  • Print
บาทหลวง สุรชัย  ชุ่มศรีพันธุ์
 
นักประวัติศาสตร์ไทยและต่างประเทศต่างก็ยอมรับว่า ชาติโปรตุเกสนั้นเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาในประเทศไทย จากหนังสือที่  วาสโก ดา โกมา (Vascoda Gama) เขียนไว้เกี่ยวกับการเดินทางของท่านในปี ค.ศ. 1497-1498 โดยมี อัลวาโร เวลโฮ (Alvaro Velho) เป็นเพื่อนร่วมเดินทางมาด้วย และเป็นผู้บันทึกเรื่องราวที่ชื่อว่า "Roteiro da Viagem de Vasco da Gama" ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางมาที่ประเทศสยามซึ่งถูกเรียกว่า "Xarnaus" ในสมัยของพระรามาธิบดี  ที่ II  ซึ่งครองราชย์อยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1491-1529 นอกจากนี้ มานูแอล เตอิเซอิรา (Manuel Teixeira) นักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากท่านหนึ่ง ได้รวบรวมเรื่องราวและเอกสารเกี่ยวกับพวกโปรตุเกสในประเทศสยามตั้งแต่แรกเริ่ม โดยใช้ชื่อหนังสือเป็นภาษาโปรตุเกสว่า "Portugal na Thailandia" พิมพ์ในปี ค.ศ. 1983 ก็ได้เน้นว่าพวกโปรตุเกสได้เริ่มติดต่อกับสยามตั้งแต่สมัยพระรามาธิบดีที่ II  นี้เช่นเดียวกัน
 
จุดเริ่มต้นของการติดต่อระหว่างพวกโปรตุเกสกับชาวสยามเริ่มต้นอย่างจริงจังก็ตั้งแต่อัลฟอนโซ ดัลบูเคอร์ก (Afonso d'Albuquerque) เข้ายึดครองเกาะมะละกาในปี ค.ศ. 1511 เรื่องราวนี้เราสามารถค้นหาอ่านได้จากหนังสือประวัติศาสตร์ทั่วๆ ไป และต่างก็ยืนยันเหมือนกันถึงเรื่องการส่งทูตติดต่อและมีการทำการค้าระหว่างกัน มีบทความภาษาอังกฤษอีกบทความหนึ่งที่น่าจะกล่าวถึงคือ A Short Survey of Luso Siamese Relations From 1511 to Modern Times เขียนโดย Antonio da Silva Rego ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากได้รวบรวมเอกสารและเขียนหนังสือไว้มากมาย บทความนี้อยู่ในหนังสือที่ชื่อว่า "470 ปี แห่งมิตรสัมพันธ์ระหว่างไทยและโปรตุเกส" (Thailand and Portugal 470 years of Friendship) พิมพ์ที่ Lisbon ปี ค.ศ. 1982 ได้ให้เรื่องราวอย่างละเอียดเกี่ยวกับพวกโปรตุเกสในไทย  แต่หากนำมาเปรียบเทียบกับรายละเอียดที่ Teixeira เขียนไว้จะเห็นว่า Teixeira ได้ให้รายละเอียดไว้มากกว่า เสียดายที่เป็นภาษาโปรตุเกสเท่านั้น นอกจากบทความของ Silva Rego แล้ว ยังมีอีกบทความหนึ่งเขียนโดย Alberto Iria ใช้ชื่อบทความว่า "A Selection of Sixteenth Century Portugese Texts on Siam" ได้แปลเอกสารเก่าแก่ต่างๆ ที่เกี่ยวกับสยามเป็นภาษาอังกฤษ เป็นเอกสารที่มีข้อมูลที่น่าสนใจ และสามารถยืนยันถึงเรื่องราวการยึดครองมะละกาของอัลบูเคอร์ก รวมทั้งการแลกเปลี่ยนทูตระหว่างสยามและโปรตุเกส ผู้ที่สนใจก็สามารถหาอ่านได้
 
ในระหว่างที่แลกเปลี่ยนทางการทูตอยู่นี้ ชาวโปรตุเกสเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยากัน บ้างแล้วเพื่อทำการค้าขาย ประวัติศาสตร์ไทยยังได้กล่าวถึงบทบาทของทหารโปรตุเกสในการทำสงครามระหว่างสยามกับอาณาจักรทางภาคเหนืออันได้แก่ เชียงใหม่ และเชียงกราน ไว้ด้วย มีความเป็นไปได้ว่าในขณะที่มีการแลกเปลี่ยนทางการทูตนั้น   อาจจะมีบาทหลวงบางองค์ซึ่งทำหน้าที่เป็นวิญญาณรักษ์ประจำเรือของโปรตุเกส  เข้ามาในสยามเพื่ออภิบาลชาวโปรตุเกสที่อยู่ในสยามในเวลานั้น แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ เลย  ที่กล่าวถึงเรื่องนี้แม้แต่หลักฐานของชาวโปรตุเกสเองก็ตาม หลักฐานที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งของชาวโปรตุเกส ซึ่งนักประวัติศาสตร์ชาวโปรตุเกสชื่อ มานูแอล  เดอ ฟาเรีย เอ ซูซา (Manuel de Faria e Sousa) เขียนไว้ในหนังสือของเขา Asia Portugeusa, III, 1945, pp.126-127 เขาได้เอ่ยถึงชาวโปรตุเกสผู้หนึ่งชื่ออันโตนิโอ เดอ ปายวา (Antonio de Paiva) ซึ่งเดินทางเข้ามาในสยาม  มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินสยาม  เป็นผู้คุ้นเคยกับราชสำนัก และที่สุดมีโอกาสสนทนากับพระชัยราชาธิราชเกี่ยวกับเรื่องศาสนา จนในที่สุด พระเจ้าแผ่นดินได้รับศีลล้างบาป   ได้รับพระนามเป็นภาษาโปรตุเกสว่า  Dom  Joao  หรือนักบุญยวงที่เรารู้จักกันดีนี่เอง เอกสารชิ้นนี้ต้องมีอยู่จริงแน่นอน หนังสือเล่มหนึ่งที่รวบรวมเอกสารสำคัญๆ ไว้ในระหว่างปี ค.ศ.1540-1549 ชื่อ Documenta Indica, Vol.I รวบรวมอยู่ใน Monumenta  Historica  Societatis   Iesu และได้รับการตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1948  ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนในหน้า 138     นักประวัติศาสตร์หลายท่านก็ได้อ้างถึงเรื่องนี้ด้วยเช่น Jose Maria Recondo, s.j., San Francesco  Javier:   Vida y Obra, Madrid: Biblioteca de Autores Chistianos, 1988, p. 606 และใน Documenta  Indica II หน้า 421 ก็ยังพูดถึงอีกครั้งหนึ่ง  ซึ่ง G. Schurhammer, s.j.  ก็ได้อ้างถึงในงานเขียนของเขาปี ค.ศ. 1932 ด้วย แสดงว่ามี นักประวัติศาสตร์หลายคนรวมทั้ง Teixeira และ Silva Rego ได้อ้างถึงเอกสารที่แสดงให้เห็นถึง   เรื่องนี้
 
อาจารย์บุญยก ตามไท ได้เขียนเรื่องนี้ไว้ในวารสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 5 ฉบับที่ 9 หน้า 88 เกี่ยวกับเรื่องการเข้ามาของชาวโปรตุเกสในประเทศสยามไว้อย่างน่าสนใจ มีข้อความตอนหนึ่ง  กล่าวว่า "มีเกร็ดประวัติศาสตร์บันทึกโดยฝรั่งว่า เมื่อ พ.ศ.2087 (1544) อันโตนิโอ เด ปายวา (Antonio de Paiva) ชาวโปรตุเกสได้เดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินสมเด็จพระชัยราชาธิราช และมีโอกาสได้เข้าเฝ้าและสนทนาเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนากับพระองค์จนเลื่อมใส และพระองค์ทรงประกอบพิธี Baptise (พิธีล้างบาป) ได้รับพระราชทินนามเป็นภาษาโปรตุเกสว่า Dom Joao ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์พิเศษอย่างยิ่ง" แต่นอกจากอาจารย์บุญยก ตามไท แล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ามีนักประวัติศาสตร์ไทยคนใดกล่าวถึงเรื่องนี้อีกเลย อาจารย์บุญยก  ตามไท เอง ก็คงยังไม่ได้เห็นเอกสารจริงๆ เพียงแต่ได้อ่านหนังสือที่เขียนถึงเรื่องนี้ไว้เท่านั้น เพราะท่านได้พูดเพียงว่า "เกร็ดประวัติศาสตร์บันทึกโดยฝรั่ง"
 
สิ่งหนึ่งที่เราสามารถเข้าใจได้ก็คือ คริสตศาสนาได้เข้ามาในอยุธยาแล้วอย่างแน่นอน เพราะตามประวัติของ Antonio de Paiva ใน Documenta Indica ก็บอกว่าเขาชอบที่จะสอนคริสตศาสนาในดินแดนที่เขาเข้าไป นอกจากแผ่นดินสยามแล้ว เขายังเคยสอนคริสตศาสนาให้กับกษัตริย์แห่ง Supa (Macacar) ด้วย เข้าใจว่าคงเป็น Madacascar ในปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ก็ยังมีชาวโปรตุเกสที่อาศัยอยู่ในสยามเวลานั้นจำนวนหนึ่งด้วย การติดต่อทางการทูตและการค้าขายคงต้องไม่ลืมเรื่องศาสนาและพิธีกรรมต่างๆ การสอนคำสอนแก่ลูกหลานก็ต้องมีผู้ปฏิบัติด้วย แต่หากจะพูดถึงหลักฐานก็คงต้องเริ่มกันที่ Antonio de Paiva ที่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ เหตุการณ์ที่น่าสนใจอีกเหตุการณ์หนึ่ง  ซึ่งน่าจะถือว่ามีความสำคัญทั้งต่อประวัติศาสตร์พระศาสนจักรในสยาม  และต่อประวัติศาสตร์ไทยด้วย  ก็คือนักบุญผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งคือ นักบุญฟรังซิส เซเวียร์ นักแพร่ธรรมผู้ยิ่งใหญ่แสดงความตั้งใจที่จะเข้ามาในสยาม ทั้งนี้เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศจีนอันเป็นความปรารถนาสูงสุดของท่านฟรังซิส เซเวียร์ เป็นพระสงฆ์ชาวสเปน และเป็นเพื่อนรุ่นแรกของนักบุญผู้ยิ่งใหญ่อีกองค์หนึ่งคือ นักบุญอิกญาซีโอ ผู้ก่อตั้งคณะเยสุอิต เมื่อก่อตั้งคณะแล้วท่านได้ส่งฟรังซิสไปที่ลิสบอน (Lisbon) เมืองหลวงของโปรตุเกส เพื่อเดินทางต่อไปยังดินแดนแพร่ธรรมที่อยู่ห่างไกล ฟรังซิส  มาถึงลิสบอนในปี ค.ศ. 1541 เหตุผลที่ต้องออกเดินทางจากลิสบอนนั้นก็เป็นเรื่องของสิทธิพิเศษที่ประเทศโปรตุเกสได้รับจากพระสันตะปาปา ซึ่งผมจะอธิบายให้เข้าใจต่อไปข้างหน้า ฟรังซิสเดินทางไปจนถึงเมืองกัว (Goa)    ประเทศอินเดียในปี  ค.ศ. 1542 ต่อมาก็เดินทางไปที่มะละกา และเกาะโมลูลัส ที่มะละกานี้เองท่านพบกับชาวญี่ปุ่นซึ่งทำให้ท่านมีแรงบันดาลใจที่จะไปญี่ปุ่นในที่สุด  ท่านก็เดินทางมาถึงเมืองคาโกชิมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1549 การแพร่ธรรมของท่าน   ที่ญี่ปุ่นนี้  บังเกิดผลดีมาก ท่านได้พบกับคนญี่ปุ่นที่มีวัฒนธรรมสูง  ต่อมาท่านทราบว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้น  มีความคล้ายคลึงกับจีน  ท่านจึงมีความปรารถนาที่จะเดินทางไปแพร่ธรรมยังประเทศจีน
 
บันทึกฉบับหนึ่งที่เขียนโดยมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 เราไม่ทราบว่าเป็นใคร เพราะไม่ได้ลงชื่อและวันเวลา แต่บันทึกนั้นเป็นภาษาฝรั่งเศสเกี่ยวกับประวัติการแพร่ธรรมในประเทศไทย ได้เริ่มต้นบันทึกด้วยการกล่าวว่า
 
"ฟรังซิส เซเวียร์  อาจจะถูกพิจารณาเป็นเหมือนกับธรรมทูต (Apostle) องค์แรกแห่งสยาม      ท่านนักบุญโดยแท้จริงแล้วได้ประกาศพระวรสารในมะละกา ซึ่งขึ้นอยู่กับสยามในสมัยนั้น และหากท่านไม่สิ้นชีวิตเสียก่อน ท่านก็จะเป็นผู้นำเอาแสงสว่างแห่งความจริงเข้ามาสู่ใจกลางของอาณาจักรแน่นอน   เพราะท่านได้แสดงเจตนารมณ์นี้ในจดหมายหลายฉบับของท่าน"
 
บันทึกนี้ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในห้องเอกสารของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ นอกจากนี้ในประวัติของคณะเยสุอิตในประเทศไทยเอง ซึ่งได้ส่งไปเก็บไว้ที่หอจดหมายเหตุของคณะที่กรุงโรมด้วย  ก็ได้บันทึกถึงเหตุการณ์นี้เอาไว้  เพราะเหตุว่าท่านนักบุญฟรังซิส เซเวียร์ เป็นสมาชิกของคณะนี้ด้วย
 
ความปรารถนาของท่านที่จะเดินทางเข้ามาในสยามนั้นมีเหตุผล เพราะท่านต้องการเดินทางจากสยามไปประเทศจีนโดยอาศัยการติดต่อการค้าระหว่างสยามกับจีนในเวลานั้น เพราะหนทางอื่นที่จะเข้าประเทศจีนนั้นมีอุปสรรค ความปรารถนานี้แสดงออกในจดหมายทั้ง 4  ฉบับของท่าน
 
จดหมายฉบับแรกเขียนเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1552 เขียนที่เมือง Sancian ถึงเพื่อนชื่อ ดีเอโกเปเรอีรา (Diego Pereira) ซึ่งอยู่ที่มะละกาว่า
 
"หากปีนี้ยังไม่สามารถเข้าประเทศจีนได้ ข้าพเจ้าจะไปที่สยามพร้อมกับดีเอโก วาซ เดอ  อารากอน (Diego vaz de Aragon) โดยจะขอไปร่วมกับทูตสยามที่จะไปพบกษัตริย์แห่งประเทศจีน..."
 
อีก 1 เดือนต่อมาท่านเขียนถึงฟรังซิสโก เปเรซ (Francisco Perez) ที่มะละกา เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1522 โดยเขียนจากซานเซียน (Sancian) เช่นเดียวกัน
 
"..ข้าพเจ้าจะไปที่สยามเพื่อขอร่วมเดินทางไปกับเรือที่พระมหากษัตริย์สยามจะส่งไปที่ Canton"
 
และวันเดียวกันนั้น ก็เขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึงดีเอโก เปเรอีรา บอกถึงความตั้งใจ      อันเดียวกัน จดหมายฉบับสุดท้ายเขียนวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1552 เขียนถึงบุคคล  2 คน คือ    ฟรังซิสโก   เปเรซ   ที่มะละกา  และกาสปาร์   บารเซโอ  (GasparBarzeo) ที่เมืองกัว  เขียนจากเมืองซานเซียนเช่นกัน โดยกล่าวว่าจะหาทางทุกอย่างที่จะเดินทางไปประเทศจีนให้ได้ในปีหน้านี้
 
จดหมายทั้ง 4 ฉบับนี้ เราสามารถหาอ่านได้จากหนังสือของ P.F. Zubillaga, s.j., Cartas y Escritos de San Francisco Javier, Madrid; Biblioteca Autores Cristianos, 1953 ผู้รวบรวมได้รวบรวมเอาจดหมายต่างๆ และงานเขียนของท่านนักบุญมาตีพิมพ์เสียใหม่ ดังนั้น จะตรงกับต้นฉบับ เพียงแต่ว่าเมื่อตรงกับต้นฉบับก็จะต้องเป็นภาษาสเปนเท่านั้น ซึ่งจะทำให้คนไทยอย่างเราเข้าใจยากสักหน่อย
 
อย่างไรก็ตาม นักบุญฟรังซิส เซเวียร์ ก็ไม่สามารถไปได้ทั้งจีนและสยามด้วย เพราะว่าท่านสิ้นชีวิตลงเสียก่อนเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1552 ที่เมืองซานเซียนนั่นเอง และในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1553 ศพที่ไม่เน่าเปื่อยของท่านที่ถูกส่งมาถึงมะละกาวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1553 ก็ถูกส่งไปที่เมืองกัวในอินเดีย และวางไว้ในมหาวิหาร Bom Jesus บางส่วนของร่างกายของท่านนี้ได้ถูกนำไปเป็นพระธาตุตามวิหารต่างๆ ในยุโรปด้วย
 
แม้ว่าท่านจะมิได้เดินทางมาสยามอย่างที่ตั้งใจ เพียงแต่เอ่ยชื่อสยามในจดหมายของท่านนั้น ก็นับว่าเป็นเกียรติต่อพระศาสนจักรของเราแล้ว เพราะอย่างน้อยที่สุดในใจของท่านก็มีเรา    ชาวสยามอยู่บ้าง นอกจากนี้ท่านยังได้ช่วยคลี่คลายข้อข้องใจส่วนหนึ่งเกี่ยวกับชื่อประเทศ "สยาม" ของเรา
 
อันที่จริงคำว่า "สยาม" นั้น เราต่างก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เราคนไทยใช้เรียกชื่อประเทศหรือชาวต่างประเทศใช้เรียกชื่อประเทศของเรา เพราะไม่สามารถบอกได้ว่าเริ่มใช้ชื่อนี้กันมาตั้งแต่เมื่อไร มองซิเออร์ ซิมอน เดอ ลา ลูแบร์ (Monsieur Simon de la Loubère) ซึ่งเป็นผู้แทนพิเศษของพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส เดินทางมาเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ไทยในปี ค.ศ. 1687 และ 1688 ได้กล่าวไว้ในหนังสือที่ท่านเขียนเกี่ยวกับประเทศสยาม และได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1693 ได้กล่าวไว้ในหน้าที่ 6 และ 7 ว่า
 
"ชื่อ สยาม นั้นไม่เป็นที่รู้จักของชาวสยาม มันเป็นคำๆ หนึ่งในหลายๆ คำ ที่ชาวโปรตุเกสในหมู่เกาะอินเดียใช้ และเป็นคำที่ยากมากที่จะค้นพบที่มาของคำๆ นี้ ชาวสยามมักเรียกตัวเองว่า ไทย  หรือหากจะแปลก็แปลว่า  เสรี  ตามความหมายในภาษาของพวกเขา"
 
แม้ว่า เดอ ลา ลูแบร์ จะอยู่ในเมืองไทยเป็นระยะเวลาเพียง 1 ปี แต่หากเราได้อ่านหนังสือของเขาแล้ว เราจะพบว่าเขาเป็นผู้สนใจการเขียนมาก ชอบศึกษาและจดจำข้อมูลต่างๆ ที่เราได้รับจากหนังสือของเขานับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับเราคริสตชน เขาได้พูดถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแพร่ธรรมเอาไว้อย่างน่าฟังมาก น่าจะหาโอกาสแปลออกมาให้อ่านกัน รวมทั้งได้เขียนบทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย บทวันทามารีอา ที่ใช้กันในสมัยพระนารายณ์นั้นด้วย ปัจจุบันหนังสือของเขาถูกตีพิมพ์ขึ้นมาอีกหลายครั้ง แม้แต่ที่ร้านหนังสือดีๆ อย่างเช่น ดวงกมลก็มีจำหน่ายด้วย
 
เป็นอันว่าในปี ค.ศ. 1687 นั้นเราก็ยังไม่ทราบที่มาของคำว่า "สยาม" หนังสืออีกเล่มหนึ่ง  ที่เขียนโดย H.E. Smith ที่ชื่อว่า "Historical and Cultural Dictionary of Thailand" พิมพ์ในปี ค.ศ. 1976 ได้ให้ข้อมูลอีกตอนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่น่าสนใจมากโดยกล่าวว่า
 
"คำว่า สยาม ถูกใช้ครั้งแรกโดย เซอร์ เจมส์ แลงคาสเตอร์ (Sir James Lancaster) ในปี ค.ศ. 1592 ในศตวรรษที่ 17 คำว่าสยามนี้จึงถูกใช้โดยทั่วไปในฐานะที่เป็นชื่อประเทศ จากบรรดาชาวยุโรป"
 
ผู้สนใจก็ขอให้ไปเปิดหนังสือเล่มนี้ดูที่หน้า 164 นักประวัติศาสตร์ของไทยคนหนึ่งคือ อาจารย์รอง ศยามนันท์ อาจารย์ประวัติศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้สรุปผลเรื่องนี้ในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า "A History of Thailand" พิมพ์ในปี ค.ศ. 1981 ในหน้า 4   ท่านกล่าวว่า
 
"คำว่า สยาม ถูกใช้โดยเซอร์ เจมส์ แลงคาสเตอร์ ในการเดินทางสู่ตะวันออกไกลครั้งแรกในปี ค.ศ. 1592 และในศตวรรษที่ 17 คำว่าสยามก็กลายเป็นชื่อที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปของประเทศในท่ามกลางชาวยุโรป หนังสือของเดอ ลา ลูแบร์เอง ที่เขียนเกี่ยวกับสยาม เป็นพยานยืนยันในเรื่องนี้ได้ หนังสือของท่านที่เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสถูกตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1691 และเป็นภาษาอังกฤษ  ก็ออกที่ลอนดอนในปี ค.ศ. 1693"
 
สมิธ (Smith) อาจจะพบหลักฐานของเซอร์ เจมส์ แลงคาสเตอร์ ที่ใช้คำว่าสยามในปี ค.ศ. 1592 ก็เป็นได้ และนับว่าเป็นหลักฐานที่เก่าแก่มากที่ใช้คำว่าสยาม ในขณะที่นักประวัติศาสตร์ไทยเองก็ยังไม่มีหลักฐานการใช้คำนี้ที่เก่าและก่อนหน้าปี ค.ศ. 1592 หรือหากมี ก็ขอให้กรุณาแนะนำมาด้วยเพื่อจะได้ศึกษาร่วมกันต่อไป
 
เวลาที่เราจะมาติดตามดูเอกสารของทางฝ่ายคริสตศาสนาดูบ้าง เพราะอาจเป็นแนวทางให้เห็นว่าการใช้คำว่า "สยาม" นั้นคงมีมาก่อนหน้าปี ค.ศ. 1592 แล้วอย่างแน่นอน ก็จำเป็นที่จะต้องอ้างไปถึงเอกสารที่ค้นพบในหนังสือ Documenta Indica เล่ม I และ II ที่กล่าวถึงไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องของ อันโตนิโอ เดอ ปายวา ในเอกสารนั้นก็ได้ใช้คำว่า "สยาม" อยู่แล้ว นั่นหมายความว่าได้ใช้กันแล้วในปี ค.ศ. 1544 อีกไม่นานต่อมา นักบุญฟรังซิส เซเวียร์ ผู้นี้แหละที่เขียนในจดหมายทั้ง 4 ฉบับของท่านโดยใช้คำว่า "สยาม" เช่นเดียวกัน เราจึงเข้าใจได้อย่างแน่นอนว่าต้องมีการใช้คำว่า "สยาม" นี้มาแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 1544 และในความเห็นส่วนตัวของผมแล้วคงต้องมีการใช้กันมาก่อนหน้านี้แน่นอน ข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ชื่อสยามอาจไม่ได้เป็นที่รู้จักของชาวสยาม แต่เป็นคำที่ชาวต่างชาติเป็นผู้ใช้เรียกชื่อประเทศของเรา ก็คงต้องตั้งข้อสังเกตไว้ว่าคงเป็นได้เหมือนกันที่  คำๆ นี้ ถูกใช้กันมาตั้งแต่พวกโปรตุเกส ฝรั่งชาติแรกที่มาติดต่อกับไทย เข้ามาถึงหมู่เกาะอินเดียในปี  ค.ศ. 1511
 
ดังนั้นจดหมายทั้ง 4 ฉบับของนักบุญฟรังซิส เซเวียร์ ก็สามารถยืนยันเรื่องชื่อของประเทศของเราได้ในระดับหนึ่ง นับว่าเป็นเอกสารที่มีคุณค่าสำหรับประวัติศาสตร์ไทยอยู่ไม่น้อย หากมีการศึกษาเอกสารที่ยังมีอยู่มากมายในหอจดหมายเหตุของโปรตุเกสและสเปน รวมทั้งเอกสารของทางฝ่ายพระศาสนจักรที่กรุงโรม ที่ปารีส และที่ประเทศไทย ให้มากกว่านี้ คงมีการค้นพบความจริงขึ้นมาอีกหลายประการทีเดียว
 
เมื่อเรากำลังพูดถึงคำว่า "สยาม" ก็จะถือโอกาสนี้อธิบายอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับคำๆ นี้ต่อไป จากการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย ชาวไทยมิได้เรียกประเทศของตนว่า "สยาม" แต่เรียกว่า "เมืองไทย" ยิ่งกว่านั้นชาวไทยยังนิยมเรียกประเทศของตนตามชื่อเมืองหลวงเวลานั้นอีกด้วยยกตัวอย่างเช่น ในระหว่าง พ.ศ.1238-1378 เรียกว่าอาณาจักรสุโขทัย, พ.ศ.1350-1767 เรียกว่า อาณาจักรอยุธยา ในสมัยกรุงเทพฯ ตอนแรกๆ นั้น เรียกกันว่า เมืองไทย หรือกรุงไทย ซึ่งเราสามารถยืนยันได้จากสนธิสัญญาเบอร์นี (Burney)  ในปี ค.ศ. 1826  ใช้คำว่า เมืองไทย  คำว่า  สยาม 
 
กลายมาเป็นชื่อทางการของประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นี่เอง  นอกจากนั้น เมื่อครั้งทำสนธิสัญญากับอังกฤษเมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1855 ก็ยังคงใช้คำว่า  "เมืองไทย" อยู่ แต่เมื่อมีการแก้ไขสนธิสัญญาที่เรียกกันว่า  "สนธิสัญญาเบาวริ่ง"    เมื่อวันที่  5  เมษายน ค.ศ. 1856    ก็มีการใช้  คำว่า "สยาม" เป็นครั้งแรก  และใช้คำนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1939 หลังจากการปฏิวัติในปี ค.ศ. 1932 เปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลใหม่ก็ค่อยๆ กลายเป็นผู้มีจิตใจชาตินิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
 
เมื่อสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปลายปี ค.ศ. 1938 ก็เริ่มต้นโครงการฟื้นฟูชาติขึ้นใหม่ ชื่อประเทศก็เปลี่ยนจากสยามมาเป็นประเทศไทย ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Thailand เรื่องนี้ถูกประกาศอย่างเป็นทางการโดยกฤษฎีกาฉบับที่ 1 โดยมีเหตุผลว่า ชื่อใหม่นั้นสอดคล้องกับต้นกำเนิดของชาวไทยและสอดคล้องกับการปฏิบัติของประชาชน
 
เรื่องชื่อของประเทศนี้ยังไม่จบ แต่กลับเป็นเรื่องสำคัญมาก เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น อังกฤษและฝรั่งเศสยังคงเรียกเราว่าสยาม เพราะนิยมคำนี้ หลังจากเพิร์ล ฮาเบอร์ ถูกโจมตีเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 กองทัพญี่ปุ่นก็เคลื่อนตัวผ่านประเทศของเรา ดังนั้นประเทศไทยจึงถูกบังคับให้ประกาศสงครามกับสหรัฐและอังกฤษเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1942 โชคดี    ที่เป็นเรื่องทางการเมืองซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ฝ่ายสหรัฐและพันธมิตรถือว่าการประกาศสงครามของคนไทยนั้นเป็นโมฆะในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1945 และเพื่อเป็นการเอาใจฝ่ายพันธมิตร รัฐบาลไทยในเวลานั้นจึงหันมาใช้คำว่า "สยาม" อีกครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี ค.ศ. 1945 นั่นเอง หลังจากการปฏิวัติเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี     อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงประกาศเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 ว่าชื่อทางการของประเทศคือ ประเทศไทย    
 
มิชชันนารีคณะโดมินิกันในสยาม 
จากหนังสือประวัติศาสตร์พระศาสนจักรในประเทศไทยจัดพิมพ์โดยสารสาสน์ในปี ค.ศ. 1965 รวมทั้งหนังสืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่างก็ลงความเห็นตรงกันว่า มิชชันนารีพวกแรกที่เข้ามาในสยามนั้นเป็นพระสงฆ์คณะโดมินิกัน โดยผู้แต่งแต่ละท่านก็ให้สมมติฐานเอาไว้ว่า อาจเป็นไปได้ที่จะมีพวกพระสงฆ์บางท่านเข้ามาพร้อมกับเรือทูต หรือเรือการค้าของโปรตุเกสก่อนหน้านั้น เสียดายที่ยังไม่มีการศึกษาอย่างจริงจังเกี่ยวกับคณะโดมินิกันในสยาม จึงทำให้เรารู้เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับพวกท่านน้อยมาก
 
อย่างไรก็ตาม เราก็ยังโชคดีที่พระสงฆ์คณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งคือ คุณพ่อ Rocco Leotilo ได้พยายามศึกษาเรื่องนี้จากงานเขียนและเอกสารสำคัญซึ่งท่านได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามิชชันนารีคณะโดมินิกันนั้นได้แก่ผู้ใด และเข้ามาในคริสตศักราชเท่าใดแน่ รวมทั้งได้ให้ผู้อ่านได้เห็นถึงกิจการต่างๆ ที่บรรดามิชชันนารีเหล่านี้ได้กระทำที่กรุงศรีอยุธยา ผมจึงเห็นว่าควรนำมาลงในที่นี้ทั้งหมด ที่จริงคุณพ่อ Rocco เขียนเป็นภาษาอังกฤษในแสงธรรมปริทัศน์ ฉบับที่ 1 และ 2 ของปีที่ 1 ซึ่งผู้ที่สนใจจะหาอ่านนั้นคงไม่ยากมากนัก  แต่เวลาเดียวกันท่านก็ได้ให้ผู้แปลจัดแปล   เป็นภาษาไทยไว้ด้วย  บทแปลบทความทั้งหมดมีดังนี้.
 
มิชชันนารีคาทอลิกพวกแรกที่เข้ามาในประเทศไทย
โดยคุณพ่อ Rocco Leotilo, C.S.S.
 
บทนำ
บทความที่จะเสนอต่อไปนี้ แบ่งเป็น 2 ภาค เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานของพระสงฆ์ คณะโดมินิกันหรือ มีชื่อเป็นทางการว่า "คณะนักเทศ" ซึ่งเป็นมิชชันนารีรุ่นแรกที่ถูกส่งมาเผยแพร่พระวรสารในประเทศไทย พวกเขาถูกส่งมาโดยผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักร เพื่อเผยแพร่พระวรสารในราชอาณาจักรสยาม   ปัจจุบันคือประเทศไทย   เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นข้อเท็จจริงที่มีเอกสารประกอบเป็นหลักฐาน ซึ่งผู้เขียนได้มาจากคุณพ่อเฟนนิง แห่งคณะโดมินิกัน คุณพ่อเฟนนิงเป็นอาจารย์ท่านหนึ่งที่สอนในมหาวิทยาลัยอันเยลีกุม ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี นอกเหนือจากเป็นอาจารย์สอนดังกล่าว ท่านยังเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาเอกสารเป็นทางการของคณะโดมินิกันอีกด้วย ปกติท่านประจำอยู่ที่สำนักมหาธิการที่ซันตา ซาบีนา ณ กรุงโรม ข้อมูลนำสำหรับบทความนี้ได้มาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์โดมินิกันเปรดีกาตอรุม บทที่ 10 บันทึกทั่วไปเล่มที่ 5,   กรุงโรม 1901 หน้า 149-153 เอกสารนี้เป็นภาษาลาตินเล่มเล็กๆ ผู้เขียนคือ คุณพ่อบี.เอม.ไรเคอร์ต แห่งคณะโดมินิกัน ข้าพเจ้าได้นำเอางานของคุณพ่อเบนโนเบียรมัน   มาใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วย  มีชื่อเรื่องว่า "งานแพร่ธรรมของคณะสงฆ์โดมินิกันชาวโปรตุเกสในภาคตะวันออกไกล" ซึ่งคุณพ่อเฟนนิง  ได้กรุณาถ่ายสำเนาให้ข้าพเจ้า บทความนั้นเขียนเป็นภาษาเยอรมัน  เพื่อนชาวอิตาเลียนของข้าพเจ้า 2 คน เป็นผู้เชี่ยวชาญในภาษาอิตาเลียนและเยอรมันทั้งคู่ ได้กรุณาแปลเอกสารนั้นเป็นภาษา  อิตาเลียนให้ข้าพเจ้าใช้ ผู้เขียนบทความนี้เมื่อเวลาเสนอเรื่องท่านเจาะจงเสนอเพื่อความบันเทิงของผู้อ่านก็จริง แต่ก็ได้พยายามยึดเอาความจริงทางประวัติศาสตร์ไว้เท่าที่สามารถทำได้
 
ภาคที่ 1
นักประวัติศาสตร์ที่เป็นฆราวาสและนักบวชส่วนใหญ่ เมื่อกล่าวถึงชื่อของมิชชันนารี 2 องค์แรกที่มาเมืองไทยนั้นถูกต้อง  อย่างไรก็ตามในการกล่าวถึงวัน เดือน ปี  ที่ท่านทั้งสองมาถึงเมืองไทยก็ดี เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับชะตากรรมของท่านก็ดี ยังคลาดเคลื่อน ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เรื่องราวที่ปรากฏในประเทศไทยของท่านทั้งสอง ดูคล้ายๆ กับเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นไปตามโอกาสอันควร  ดูเหมือนยังคลุมเครืออยู่ในความลับดำมืด
 
ถึงกระนั้นก็ดี การเข้ามาสู่เมืองไทยของท่านทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของความพยายาม  แพร่ธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับคณะโดมินิกันเท่านั้น นักประวัติศาสตร์เมื่อพูดถึงมิชชันนารีรุ่นแรกนี้ บ้างก็มีหลักฐานเพียงเล็กน้อยไม่เป็นชิ้นเป็นอัน หรือความรู้เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เขาเอามาพูดมาเขียนนั้นเขาใช้ข้อมูลจากแหล่งที่สองรองลงมาซึ่งเขามีอยู่ ผู้อ่านส่วนใหญ่ย่อมทราบอยู่ว่า มิชชันนารีรุ่นแรกที่เข้ามาในประเทศไทยนั้น คือคุณพ่อเยโรนิโม ดาครู้ส และคุณพ่อเซบาสติอาว ดากันโต    ทั้งสองท่านสังกัดอยู่กับคณะโดมินิกันชาวโปรตุเกสที่เมืองกัว ท่านทั้งสองถูกส่งมายังประเทศไทยโดยผู้ใหญ่ทางศาสนาคือ คุณพ่อเฟอร์ดินัน ดี ซันตา มารีอา ผู้เป็นเจ้าคณะแห่งมะละกาในสมัยนั้น เราสามารถยืนยันอย่างแน่นอนเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ จากจดหมายที่ส่งไปยังท่านอธิการใหญ่แห่งคณะ   จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายรายงานถึงภารกิจของท่านในฐานะเจ้าคณะมิสซัง นอกจากนั้นยังถือเป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานเอกสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ของคณะโดมินิกัน  ในการประชุมใหญ่เมื่อปี ค.ศ. 1571  จึงกลายเป็นหลักฐานเอกสารอันเป็นทางการชิ้นหนึ่ง    จดหมายฉบับนี้ได้เขียนเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ.1569 จากหลักฐานอันสำคัญยิ่งของจดหมายฉบับนี้แหละ ที่ทำให้เราได้รู้ซึ้งถึงกิจกรรมของคุณพ่อทั้งสอง เช่น กิจกรรมที่ท่านกระทำ ชะตากรรมที่คุณพ่อองค์หนึ่งได้รับต่อมา พร้อมทั้งสถานการณ์แห่งราชอาณาจักรไทยด้วย
 
เมื่อพูดกันทางประวัติศาสตร์และระยะเวลานั้น  วัน เดือน ปี  ที่อ้างถึงการเข้ามาของมิชชันนารีทั้งสองท่านนั้นไม่ถูกต้อง  วันเดือนปีที่ให้ไว้ในหนังสือทุกเล่มและบทความทุกบท   ที่ค้นคว้าวิจัยกันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1555  นั้นไม่ถูกต้อง  หนังสือแนะนำที่เกี่ยวกับคาทอลิกในประเทศไทย  (The Catholic Directory;  ที่พิมพ์จากบ้านเซเวียร์  ค.ศ. 1963) 
 
เสนอวันเดือนปีดังกล่าวทางประวัติศาสตร์พระศาสนจักรในประเทศไทยไม่ถูกต้อง รวมทั้งพวกโปรเตสตันท์ ก็เสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเช่นกันด้วย ดร. โรนัลฮิล  ในบทความที่มีหัวข้อว่า  "คริสตศาสนาในเมืองไทย" (Christianity in Thailand) เขียนสำหรับหนังสือแนะนำคริสเตียนโปรเตสตันท์ (The Protestant Christian Directory; พิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1973) ก็ใช้วันเดือนปีข้างต้นนี้เช่นเดียวกัน แม้แต่ประวัติพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทยก็ยังผิดพลาดในเรื่องนี้เช่นเดียว กัน    วันเดือนปีที่มิชชันนารีรุ่นแรกมาเมืองไทยคือ ปี ค.ศ. 1567
 
ตามหลักฐานทางเอกสารโดยชัดแจ้งของคุณพ่อเบียรมัน  คณะโดมินิกัน   ท่านพิสูจน์ข้อความในเรื่องนี้โดยใช้หลักฐานจากจดหมายเหตุของคุณพ่อเฟอร์ดินัน ดา ซันตา มารีอา ส่งถึงมหาธิการแห่งคณะโดมินิกัน ในจดหมายนั้นได้เรียนให้อธิการใหญ่ทราบถึงการออกเดินทางใหม่ๆ ของมิชชันนารีทั้งสอง ทราบกันว่าเป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาและมีความรู้ปราดเปรื่องยิ่ง
 
มิชชันนารีทั้ง 2 องค์ใช้เวลา 1 เดือนในการเดินทาง และได้มาถึงกรุงศรีอยุธยา ในปี ค.ศ. 1567 (พ.ศ. 2110) ระหว่างรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช (ค.ศ.1569-1590) และดูเหมือนว่ามิได้ประสบความยากลำบากในการเข้าประเทศแต่อย่างใด ในสมัยนั้นราชอาณาจักรไทยได้เปิดกว้างให้แก่อำนาจของชาวยุโรปเข้ามาในฐานะมิตรภาพ ซึ่งทำให้บรรดาคนต่างชาติเหล่านี้ค่อยๆ ลุกล้ำเข้ามาและแย่งชิงเอาที่ดินในพื้นที่ในลักษณะเอาเป็นเมืองขึ้นแบบบิดา
 
เวลานั้นในเมืองหลวงของไทยมีพวกโปรตุเกสไม่ใช่น้อยในสังคมและเป็นธรรมดาอยู่เองที่บางคนในพวกนี้ย่อมอ้าแขนต้อนรับพวกเดียวกันที่เป็นนักบวช เพราะขณะนั้นหาพระสงฆ์ที่จะมาช่วยดูแลรักษาในเรื่องวิญญาณเมื่อพวกเขาต้องการไม่มีเลย จดหมายของคุณพ่อเฟอร์ดินัลมีกล่าวถึงเรื่องนี้อยู่ด้วย ตามหลักฐานปรากฏว่าคุณพ่อเฟอร์ดินัลได้เรียนให้อธิการใหญ่ทราบด้วยว่า เขาได้ให้สถานที่พำนักอย่างสมควรในแหล่งที่ดีที่สุดในตัวเมืองแก่มิชชันนารีทั้งสอง คุณพ่อทั้ง 2 องค์ ได้เริ่มงานช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติของท่านทันที ในเวลาเดียวกันก็ได้ศึกษาภาษาไปด้วย คุณพ่อเฟอร์ดินัล กล่าวถึงคุณพ่อ 2 องค์นั้นว่า ได้กลายเป็นคนพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว
 
ด้วยเหตุนี้ท่านทั้งสองจึงสามารถสนทนาและติดต่อสังสรรค์กับชาวไทยได้เอง มีผู้คนเป็นอันมากได้มาเยี่ยมเยือนและติดต่อกับท่านไม่ว่าหญิงชาย หรือพวกขุนนางมียศศักดิ์ แม้กระทั่งพระภิกษุของศาสนาอื่น นี่คงหมายถึงพวกพราหมณ์ เพราะจดหมายได้กล่าวโดยระบุถึงการเยี่ยมของพระภิกษุทางพุทธหลังจากการเยี่ยมของศาสนาอื่น ทุกคนรู้สึกประทับใจในความดีของคุณพ่อทั้งสอง ด้วยเหตุนี้ท่านจึงค่อยๆ มีอิทธิพลขึ้น กระทั่งบริเวณพระราชฐาน อิทธิพลนั้นก็ยังเข้าถึงได้
 
อย่างไรก็ดี ได้มีชนกลุ่มหนึ่งที่มิได้สนใจกับมิชชันนารีทั้ง 2 พวกนี้คือพวกมุสลิม บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขากลัวว่าอิทธิพลของพวกเขาจะเสื่อมลง และนี่ก็จะเป็นเพราะพวกโปรตุเกสกำลังมีอำนาจวาสนาครอบคลุมอยู่ในท้องที่นี้ อย่างไรก็ตาม ในบรรดาพวกนี้ได้มีการริษยาและความเกลียดชังต่อพวกคริสตังและชาวโปรตุเกสเกิดขึ้นเขาไม่อาจโจมตีพวกมิชชันนารีซึ่งเป็นที่ นับถือรักใคร่ของคนทั่วไปอย่างเปิดเผย ด้วยเหตุที่เขาอาจจะต้องเสี่ยงกับอันตรายจากเจ้าหน้าที่ของไทย   ซึ่งมีจิตใจกว้างขวางที่สุดในเรื่องของศาสนา   ฉะนั้นเขาจึงรอเวลาและวางแผนหาวิธีว่า  ทำอย่างไรจะได้พ้นอันตรายจากพวกคริสตัง   เวลาที่เขารอคอยนั้นก็ได้มาถึงในไม่ช้า   เป็นเพราะความดีของคุณพ่อทั้งสองแท้ๆ ที่กลับกลายเป็นการนำเอาความหายนะมาสู่ท่าน ในการรายงานถึงท่านอธิการใหญ่แห่งคณะโดมินิกัน ก็มีรายงานเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น  คุณพ่อเฟอร์ดินัล  ได้กล่าวถึงแผนการณ์ของพวกมุสลิมด้วย   เพื่อที่จะให้แผนนั้นสำเร็จให้จงได้   เขาได้ใช้เงินซื้อชาวบ้านอย่างไร   แผนนั้นก็คือกำจัดพวกมิชชันนารีให้พ้นจากแผ่นดินไทยด้วยการฆ่าเสียให้หมด
 
วันหนึ่ง พวกมุสลิมได้จ้างชาวบ้านโดยยุยงให้ไปก่อความวุ่นวายขึ้นกับพวกโปรตุเกสด้วยการดูหมิ่นเขาและศาสนาของเขา ดาบได้ถูกชักออก ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครคอยห้ามปราม มิชชันนารีทั้ง 2 เมื่อได้ยินเสียงต่อสู้และเสียงร้องดังขึ้นก็ได้ออกจากที่อยู่ของท่าน และได้พยายามหยุดการต่อสู้ นั่นก็คือสิ่งที่ศัตรูของท่านต้องการ คุณพ่อเยโรนิโมถูกแทงด้วยหอกและถึงแก่กรรม  ส่วนคุณพ่อเซบาสติอาว ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการใช้ก้อนอิฐก้อนหินปาจากพวกก่อความไม่สงบ หลังจากได้พักผ่อนและได้รับการรักษาดูแลจากแพทย์ไม่กี่วันท่านก็หายเป็นปกติ ความปั่นป่วนและห่วงใยอย่างลึกซึ้งได้เกิดขึ้นทั้งเมือง พวกเด็กๆ ได้ร้องไห้เรียกหาคุณพ่อ ไม่ว่าขุนนางหรือประชาชนคนสามัญทุกคนได้ใช้เครื่องหมายไว้ทุกข์กันทั่วไป หลายคนได้มาแสดงความเคารพศพคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้าย บางคนถึงกับเข้าไปกอดจูบศพคุณพ่อ
 
สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นในขณะที่เกิดเหตุการณ์นี้ พระองค์มิได้ทรงประทับอยู่ พระองค์ได้ทรงพระพิโรธเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทรงทราบถึงการฆาตกรรมอันเป็นความผิดอย่างทารุณโหดเหี้ยม พระองค์ทรงเสียพระราชหฤทัยอย่างสุดซึ้ง และได้ทรงรับสั่งให้สืบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด เมื่อได้ทราบและได้พิสูจน์ความเป็นจริงอย่างเปิดเผยแล้ว พระองค์ได้ทรงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตผู้กระทำผิดที่เป็นชาวมุสลิม  และที่มิได้เป็นคริสตัง โดยนำไปให้ช้างเหยียบ  ส่วนบรรดาที่เป็นขุนนางและบรรดาข้าราชการที่พัวพันกับความผิดนั้น บางคนก็ให้ตัดศีรษะและบางคนก็ให้เนรเทศไป  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมุ่งเล็งถึงความยุติธรรม พระองค์ทรงตระหนักดีถึงการกระทำของมิชชันนารี และพระองค์ทรงนิยมชมชอบยิ่งนัก
 
ยิ่งกว่านั้น  เมื่อคุณพ่อเซบาสติอาว ได้หายจากบาดแผลแล้ว เพื่อให้ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อได้เห็นการนองเลือดยังมีต่อไปอีก ท่านรู้สึกห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง และต้องการให้หยุดการฆ่ากัน  ต่อไปทันทีที่ได้พักฟื้นเพียงพอแล้ว ท่านก็ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่เพื่อขอเข้าเฝ้าพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อมาอีก 2-3 วัน  ก็ได้รับพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้า เมื่อคุณพ่อได้เข้ามาปรากฏเฉพาะพระพักตร์ พระองค์ท่านได้ทรงตบพระหัตถ์และทรงแสดงว่าพระองค์ทรงมีความสุขมากที่ได้เห็นคุณพ่อสบายดีมีชีวิตชีวาขึ้น
 
ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงถามคุณพ่อเซบาสติอาวถึงความประสงค์ของท่าน ซึ่งคุณพ่อก็ได้กราบทูลพระองค์ว่า "ขอทรงพระมหากรุณาสดับฟังทาสของพระองค์ด้วยเถิดพระเจ้าข้า" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงตรัสว่า "พูดมาเถิด" คุณพ่อเซบาสติอาวจึงได้ทูลอธิบายถึงเหตุผลที่ได้ขอเข้าเฝ้าว่า ท่านปรารถนาที่จะทูลขอให้พระองค์ทรงหยุดการหลั่งเลือดเสีย พระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงหวั่นไหวพระทัยอย่างเห็นได้ชัด และได้ทรงพระมหากรุณาประทานให้ตามที่ท่านขอ พร้อมกับตรัสว่า "ท่านเป็นคนดี และมีจิตใจที่สูงส่งยิ่งนัก" ต่อจากนั้นพระองค์ได้ทรงแสดงความรักและความเป็นมิตรต่อคุณพ่อมากยิ่งขึ้น พร้อมกับทรงขอร้องท่านอย่าได้ทอดทิ้งราชอาณาจักรของพระองค์ไปเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
 
ต่อจากนั้น  พระองค์ได้ทรงมีรับสั่งให้หยุดการประหาร ความสงบสุขจึงเกิดขึ้นในที่สุด    คุณพ่อเซบาสติอาวได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตไปยังเมืองมะละกา  เพื่อขอมิชชันนารีมาเพิ่ม  พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงยินยอมให้ไปตามที่ท่านขอ  พระสงฆ์ 2  องค์ได้ถูกส่งมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่เผยแพร่พระศาสนา แต่นามของท่านทั้งสองไม่เป็นที่ทราบกัน จดหมายของคุณพ่อเฟอร์ดินัลถึงท่านอธิการใหญ่มีเพียงเท่านี้ และนี่ก็เป็นรายงานอย่างเดียวกันโดยคุณพ่อเบียรมัน    แห่งคณะโดมินิกันเช่นกัน
 
ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นความเข้าใจผิดอีกข้อหนึ่ง ซึ่งต้องแก้ให้ถูกต้องนั่นคือมีพระสงฆ์องค์เดียวเท่านั้นที่ถูกฆ่า ไม่ใช่ทั้งสององค์ดังที่บรรดานักประวัติศาสตร์ทางฝ่ายคาทอลิกในเมืองไทยบรรยายเอาไว้  คุณพ่อเยโรนิโม ดา ครู้ส  องค์เดียวเท่านั้นที่ถูกฆ่า และที่ถูกฆ่าก็เนื่องมาจากการยุยงของพวกมุสลิม   และมิใช่คนไทยหรือเจ้าหน้าที่ไทยเช่นเดียวกัน
 
หลักฐานเอกสารที่เป็นภาษาลาติน กล่าวถึงการคอรัปชั่นในหมู่ข้าราชการและการถูกลงโทษด้วย แต่สำหรับบรรดานักประวัติศาสตร์ได้ให้ข้อคิดว่า คนไทยได้ฆ่าพวกมิชชันนารีเพราะว่าพวกเขาไม่ต้องการได้ยินว่า  คำสอนของพวกเขานั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง  และไม่มีเหตุผล พระมหากษัตริย์ไทยทรงพระพิโรธอย่างใหญ่หลวงต่อเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น และได้ทรงพยายามแก้ไขเรื่องราวให้ถูกต้องโดยทรงกวดขันการลงอาญาแก่พวกอาชญากรที่พัวพันเกี่ยวข้อง มรณสักขีของคุณพ่อเยโรนิโมเกิดจากพวกมุสลิมไม่ใช่ชาวไทยพุทธ ในการรายงานของคุณพ่อเฟอร์ดินัล       ถึงท่านอธิการใหญ่แห่งคณะโดมินิกัน ได้ยืนยันอย่างชัดแจ้งในเรื่องนี้
 
ส่วนอัฐิของคุณพ่อเยโรนิโมนั้น หลังจากเหตุการณ์อันร้ายแรงเกิดขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา 1 ปี จึงได้ถูกนำมายังเมืองมะละกา ที่นั่นพระสังฆราชและบรรดานักบวชได้จัดพิธีทางศาสนาอย่างสง่า ท่ามกลางคริสตชนที่มาร่วมในพิธีด้วยความเคารพในตัวคุณพ่อเป็นอย่างยิ่ง   และได้ถูกฝังไว้ในสุสานที่สร้างขึ้น ทุกคนถือว่าท่านได้เป็นมรณสักขีผู้หนึ่ง ส่วนสหายของท่านคือ คุณพ่อเซบาสติอาวนั้น ทราบว่าท่านได้กลับมายังประเทศไทยเพื่อเผยแพร่พระวรสาร   หลังจากความตายของสงฆ์ผู้ร่วมงานของท่าน   แต่ก็มิได้มีหลักฐานอื่นใดที่กล่าวถึงท่านในสถานที่เก็บรักษาเอกสารของคณะ  โดมินิกันเลย เรื่องความตายของคุณพ่อเซบาสติอาวนั้น เป็นอันกล้ายืนยันโดยชัดแจ้งอย่างตรงกันข้ามว่า    ท่านได้เสียชีวิตลงอย่างธรรมดา    หาใช่เสียชีวิตแบบมรณสักขีตามที่นักประวัติศาสตร์     บางท่านอ้างไว้ไม่
 
ภาคที่ 2 แห่งบทความนี้ จะกล่าวถึงเหตุการณ์ต่อมาของคณะโดมินิกัน เรื่องที่กล่าวมาแล้วเป็นเรื่องการทำงานของพระสงฆ์ 2 องค์แรก และเป็นเรื่องที่เราทราบเกี่ยวกับท่าน.
  
ความวิริยะอุตสาหะของ
มิชชันนารีคาทอลิกรุ่นแรกในประเทศไทย
ภาคที่ 2
ในบทความภาคแรกนั้น เราได้ประจักษ์แล้วว่าสงฆ์คณะโดมินิกันรุ่นแรกได้มาปฏิบัติงานเผยแพร่ศาสนาคาทอลิกในเมืองไทยอย่างไร  และพระสงฆ์องค์หนึ่งในสององค์ที่มาแพร่ธรรมได้ถวายชีวิตเพื่อพระคริสตเจ้าอย่างไร   บทความที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านนี้จะบรรยายเรื่องราวที่จะตามมาเกี่ยวกับสงฆ์คณะโดมินิกันที่อยู่ในราชอาณาจักรไทยต่อไป
 
ถึงแม้ว่างานแพร่ธรรมในช่วงแรกของบรรดามิชชันนารีเหล่านี้ได้ถดถอยลง  ท่านผู้กล้า หาญทรหดเหล่านี้ก็มิได้เสียน้ำใจ หากจะพูดให้ถูก ความตายและมรณสักขีของคุณพ่อเยโร นิโม กลับเป็นเหตุกระตุ้นให้เกิดความร้อนรนที่จะดำเนินงานที่ได้เริ่มไว้แล้ว ด้วยการเสียสละอย่างใหญ่หลวงยิ่งขึ้นต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทความภาคแรกว่าพระองค์ทรงประทับพระราชหฤทัยด้วยความโปรดปรานเป็นที่สุด ในการที่มิชชันนารีที่ยังเหลืออยู่ (คุณพ่อเซบาสติอาว ดากันโต) มีความใจดีและจิตใจปราณียกโทษให้แก่ศัตรูของคริสตศาสนา ด้วยการขออภัยโทษพวกเขาให้พ้นจากการลงอาญา อันเป็นชะตากรรมที่พวกเขาควรจะได้รับ  เพราะการกระทำอันโหดเหี้ยมทารุณอย่างขี้ขลาดของพวกเขา เรื่องนี้ประชาชนพลเมืองทราบดี
 
ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงกิตติศัพท์ของมิชชันนารีคาทอลิกจึงเป็นที่นิยมนับถือจากพระเจ้าแผ่นดินและพสกนิกรของพระองค์เป็นอย่างสูง พวกเขาได้เห็นว่าคำสอนของพระคริสต์นั้นท่านเองได้ปฏิบัติตามอย่างที่ท่านสอนไว้ คุณพ่อเซบาสติอาว ดา กันโต ที่ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยน้ำใจอันดีงามของท่านได้ทำประโยชน์ให้ท่านมาก ท่านได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตไปยังเมืองมะละกาเพื่อไปขอมิชชันนารีมาช่วยงานเพิ่ม พระสงฆ์สององค์ได้กลับมาทำงานกับท่าน แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เรา  ไม่ทราบนามของท่านทั้งสอง
 
เมื่อพวกมิชชันนารีได้กลับมาถึงอยุธยา   เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรไทย   ท่านก็ได้เริ่มสอนพระวรสารอย่างเปิดเผยดังกล่าว   ตราบใดที่ความเป็นศัตรูซึ่งเป็นเหตุให้คุณพ่อเยโรนิโมถึงแก่ ความตาย ยังไม่หมดสิ้นไป พวกมิชชันนารีก็ต้องทำงานอยู่กับเพื่อนร่วมชาติของตนเอง  คือชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติของเขา   โดยใช้พวกนี้เป็นฐานติดต่อและทำให้ชาวพื้นเมืองสนใจคริสตศาสนา
 
อย่างไรก็ดี  น้ำใจดีและความสนใจที่ชาวเมืองแสดงออกมา ถึงแม้จะมีการตั้งกลุ่มสนทนากันหลายครั้งหลายหนเพื่อที่จะสนับสนุนคริสตศาสนา ชาวเมืองก็ยังไม่กล้าเสี่ยงที่จะนับถือ เหตุผลหนึ่งอาจจะเป็นเพราะคริสตศาสนายังเป็นศาสนาใหม่สำหรับพวกเขา และเป็นศาสนาของชาวต่างชาติ คริสตชนบางคนก็ทำตัวอย่างไม่ดีให้เห็น  บางทีอาจจะเป็นเพราะประชาชนยังไม่แน่ใจว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงมีน้ำพระทัยอย่างไร ในเรื่องนี้ต้องระลึกด้วยว่าประเทศไทยในเวลานั้น  ถือระบบสมบูรณาญาสิทธิราช และชาวเมืองก็ได้เคยชินอยู่กับการเดินตามผู้นำของตน  ความจงรักภักดีและความเคารพนับถือ อันเป็นนิสัยซึ่งประชาชนชาวไทยมีต่อองค์พระมหากษัตริย์แห่งตนนั้น  หยั่งรากลึกจนยากที่จะถอนได้  รวมทั้งศาสนาพุทธด้วยซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติที่พระมหากษัตริย์และประชากรของพระองค์นับถืออยู่ ข้าพเจ้าคิดว่าการประเมินตามสภาพการณ์ดังกล่าวก็น่าจะเห็นใจพวกเขา   ตามทัศนะของนักประวัติศาสตร์ที่เป็นกลาง
 
ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญมากกว่าได้เกิดสงครามครั้งแรกในจำนวนสามครั้งกับประเทศพม่าซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน (1549-1563 และ 1569) ซึ่งเป็นสภาพที่ลงเอยด้วยความพินาศของกรุงศรีอยุธยา โชมีกรอน กษัตริย์ของพม่าได้เข้ามารุกรานประเทศไทยพร้อมด้วยกองทัพมหึมา และได้ประสบผลสำเร็จจนกระทั่งได้เข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยา   ไม่อาจต้านทานความชุลมุนวุ่นวายของสงครามได้   มิชชันนารีคณะโดมินิกันที่พำนักอยู่ในเขตของพวกโปรตุเกสในเมือง ได้เสียชีวิตทั้งหมดพร้อมกับการเสียกรุง สงครามได้ทำให้ผู้คนเสียชีวิตลงด้วย คุณพ่อเฟอร์ดินัลอยู่ในมะละกาได้ขอร้องคุณพ่อฟรังซิส เดอ อาเปรอ (1669-1674) ประมุขของคณะโดมินิกันในอินเดีย ให้ส่งมิชชันนารีองค์อื่นมายังประเทศไทย เคราะห์ร้ายที่ชื่อและจำนวนพระสงฆ์เหล่านั้นมิได้ถูกบันทึกไว้ ทำให้เราไม่สามารถทราบข่าวคราวของผู้รอดชีวิต เราจึงไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกท่านเหล่านั้นบ้าง
 
เมื่อต้องต่อสู้กับสงครามที่รบกันอยู่อย่างไม่หยุดหย่อนตลอดเวลา งานแพร่ธรรมก็ย่อมจะดำเนินไปไม่ได้ มิชชันนารีบางองค์ได้เดินทางกลับไปยังมิสซังของตน บางองค์ได้เดินทางไปยังเมืองท่าต่างๆ ในภาคตะวันออกไกล โดยหวังจะเริ่มงานเผยแพร่ศาสนาในที่ใหม่ต่อไป ทั้งๆ ที่รู้ว่า จะต้องต่อสู้กับความเจ็บป่วยและความตาย พระสงฆ์ผู้ช่วยองค์หนึ่งคือ  คุณพ่อเปโดร ดอส ซันตอส ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมุสลิมและได้เป็นมรณสักขี
 
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจและเป็นเรื่องที่ควรจะเข้าใจว่า เมืองกัว สังฆมณฑลของคณะโดมินิกัน ที่ต้องแบกภาระหนักอยู่แล้ว มิสซังอื่นๆ ในอาฟริกา, อินเดีย พร้อมทั้งบรรดาเกาะต่างๆ ของอินเดียที่กำลังขาดผู้คนอยู่ นอกจากนี้ยังได้รับความเสียหายกับการแพร่ธรรม  ในมิสซังไทยที่ผันแปรอยู่เสมอ  ที่สุด  คณะโดมินิกันก็จำต้องทิ้งงานแพร่ธรรมในประเทศไทย  ไปด้วยความไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
 
จากปี ค.ศ. 1582 จนถึงสิ้นปี ค.ศ. 1584 คณะฟรันซิสกันชาวสเปนได้พยายามดำเนินงานแพร่ธรรมที่คณะโดมินิกันได้เริ่มไว้แล้วในประเทศไทย ในที่สุด พวกท่านเหล่านี้ก็ได้ทิ้งแหล่ง    แพร่ธรรมนี้ไปด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้แพร่ธรรมคนอื่นมารับภาระแพร่ธรรมในราชอาณา จักร   มีการกล่าวถึงคุณพ่อดีเอโก เปเรีย ตีบาว แห่งคณะเยสุอิต, คุณพ่อมานูแอล เปเรรา และมาคอส โกเมซ       แต่คณะโดมินิกันก็ยังคงยึดมั่นต่อความหวังในแหล่งแพร่ธรรมเดิมที่เขาได้ทำไว้ด้วยความเสียสละและทุกข์ยากลำบากมามากต่อมากแล้ว
 
เมื่อสมเด็จพระนเรศวรได้ทรงทำสงครามกับประเทศเขมร พระองค์ได้ทรงเอาชนะเมืองละแวกได้ บรรดามิชชันนารีที่ทำงานอยู่ในเขมรได้ตกอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ด้วย พวกท่านเหล่านี้ได้ถูกบังคับให้ต้องติดตามพระองค์ในฐานะเชลยศึกกลับมายังประเทศไทย พวกพระสงฆ์เหล่านี้ได้รับความยากลำบากมาก ณ ที่นี้ พระญาณสอดส่องก็ได้ช่วยให้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากองค์พระมหากษัตริย์ เฉพาะอย่างยิ่งในบรรดาพวกท่านเหล่านี้ มีคุณพ่อองค์หนึ่ง คือ คุณพ่อ   ชอรเก  ดา โมตา กับเพื่อนของท่านคนหนึ่งชื่อ ดีเอโก แบลโลโซ ได้ทูลขอสมเด็จพระนเรศวรผู้เป็นเจ้า ให้ทรงปล่อยพี่น้องผู้ร่วมงานคนอื่นๆ พร้อมทั้งชาวโปรตุเกสที่เป็นเชลยศึกให้ได้รับอิสรภาพหลังจากได้ดำเนินเรื่องค่าไถ่ถอนเชลยศึกจากมะนิลาในนามของพระมหากษัตริย์ได้เรียบร้อยแล้ว คุณพ่อชอรเกก็ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนเรศวรเพื่อทูลรายงาน    องค์พระมหากษัตริย์ได้ทรงพอพระทัยอย่างลึกซึ้ง ได้ประทานสิทธิพิเศษและเกียรติเป็นอันมากให้แก่คุณพ่อ   ถึงกระนั้นความสัมพันธ์อันดีเลิศนี้ก็ยังอยู่ได้ไม่นาน และโอกาสอันดีที่จะสอนพระวรสารได้ก็หมดไปด้วย
 
เพราะความทรยศของนายเบลโลโซชาวโปรตุเกส เพื่อนของคุณพ่อชอรเก ซึ่งพระมหา กษัตริย์ได้ทรงโปรดให้ไปยังเมืองมะนิลาในฐานะเป็นทูตผู้หนึ่ง และต่อมาได้หาทางเข้าประจบ   ประแจงเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานและความช่วยเหลือจากกษัตริย์ เป็นสาเหตุให้พระมหา กษัตริย์ไทยทรงแสดงความเป็นมิตรกับชาวโปรตุเกสน้อยลง
 
อันที่จริง ในเวลานั้นมีชายผู้หนึ่งชื่อ ซูซา ได้ตำหนิเขาเรื่องความประพฤติของพวกพ่อค้าชาวโปรตุเกส และพระมหากษัตริย์ก็ได้ทรงห่างเหินกับเขาอย่างตลอดมา พระองค์ได้ทรงห้ามมิให้สอนพระวรสารซึ่งกำลังจะได้ผลอยู่แล้ว คุณพ่อหลุยส์ ดา ฟอนเซกา ได้เคยโปรดศีลล้างบาปให้แก่สตรีที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นภรรยาของพ่อค้าชาวญี่ปุ่น สาเหตุนี้ทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อชาวญี่ปุ่นพ่อค้าผู้นั้นรู้ถึงการกลับใจของภรรยาตนเข้า เขาจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
 
ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ เขาพร้อมด้วยเพื่อนชาวญี่ปุ่นบางคนได้เข้าไปในโบสถ์ และได้ฆ่ามิชชันนารีองค์นั้นถึงแก่ความตายหน้าพระแท่นนั้นเอง พวกโปรตุเกสได้รวมกันจับอาวุธป้องกันตัวและเพื่อแก้แค้นในการฆ่าครั้งนี้    คุณพ่อชอรเกเห็นว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถทำต่อไปในเมืองไทยสำหรับเวลานั้นแล้ว ประกอบกับตัวท่านเองก็ได้รับบาดแผลในการวิวาทกันครั้งนั้นด้วย ดังนั้นท่านจึงได้ทูลขอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อไปเยี่ยมเพื่อนร่วมงานของท่านผู้หนึ่งชื่อคุณพ่อจอห์น มัลโดนาโด   ซึ่งอยู่บนเรือของสเปนที่วิ่งผ่านไปมาอยู่ และท่านได้ถือโอกาสไปยังมะละกาด้วย
 
ในระหว่างนั้น พวกสงฆ์คณะโดมินิกันได้จัดเตรียมมิชชันนารีคนอื่นๆ ที่เมืองกัว และอินเดียเพื่อส่งมายังมิสซังไทย เนื่องจากระยะทางไกล และการคมนาคมก็ลำบากมาก พวกมิชชันนารีเหล่านี้ไม่ทราบถึงสถานการณ์ของมิสซังดังกล่าว หนึ่งปีต่อมาหลังจากความไม่สงบในเมืองไทย คือปี  ค.ศ. 1600  ท่านอธิการใหญ่ของคณะโดมินิกัน คือ คุณพ่อเยโรนิโมดี ซันโดมินโกส ได้ส่งพระสงฆ์มาอีก  2  องค์   คือ  คุณพ่อเปโดร โลบาโต  และคุณพ่อเยโรนิโม มาสกาแรนอาส
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกที่อยู่มะละกาเหล่านี้มาถึงประเทศไทยแล้วจึงได้ทราบว่า  คุณพ่อหลุยส์   ได้ถูกฆ่าตายแล้ว  และคุณพ่อชอรเกซึ่งเคยถูกส่งมาในฐานะเป็นทูตสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน  ก็ได้สิ้นชีวิตไปแล้วด้วย  บางทีอาจจะเป็นเพราะบาดแผลที่ได้รับเมื่อพวกญี่ปุ่นบุกเข้าวัดเมื่อคราวนั้นก็เป็นได้ ท่านคารโดโซ   บุคคลผู้หนึ่งที่มีความรอบรู้ในสมัยนั้น ได้ตั้งวันเดือนปีของการเป็นมรณสักขีของคุณพ่อหลุยส์ดา ฟอนเซกา เป็นวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1600 พวกสงฆ์เหล่านี้มิได้ทิ้งความตั้งใจในการแพร่ธรรม อาจจะเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ในมะละกาได้เตือนพวกเขาว่า สถานการณ์ในราชอาณาจักรยังไม่สมควรจะปฏิบัติงานแพร่ธรรมในเวลานั้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่ยุ่งยากในการแพร่ธรรมก็ไม่อาจจะยับยั้งคณะโดมินิกันได้นานนัก พวกเขาได้หาวิธีอื่นเพื่อขจัดอุปสรรคให้ได้ต่อไป
 
หลังจากคุณพ่อชอรเก  ได้ไปยังมะละกาไม่นาน คุณพ่อคณะโดมินิกันองค์หนึ่ง  คือ คุณพ่อแบคคีออร์ดา ลูซ  ได้ลงมาที่มาร์ตาบัง  ซึ่งเป็นช่องแคบเล็กๆ ของทะเลอันดามัน  ปัจจุบันอยู่ทาง  ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของพม่า   เจ้าเมืองซึ่งรู้จักพฤติการณ์ของคุณพ่อชอรเก  ได้มอบท่านให้เจ้าหน้าที่ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงกริ้วในฐานะที่เข้าประเทศโดยมิได้รับอนุญาต
 
อย่างไรก็ตาม คุณพ่อแบคคีออร์ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งได้ทรงปกป้องท่าน และได้ประทานสิทธิพิเศษให้แก่ท่านหลายประการ พระองค์ทรงประทานอนุญาตให้มิชชันนารีเทศน์สอนได้ ยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงสร้างวัดสำหรับคุณพ่อและคริสตชนของท่านด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์  กระทั่งเมืองมะละกาก็ยังได้รับน้ำพระทัยอันกว้างขวางจากพระองค์ด้วย โดยได้ทรงส่งเรือบรรทุกข้าวเต็มลำเพื่อไปช่วยเหลือชาวเมือง และทรงบริจาคสิ่งของแก่อารามที่นั่นด้วย นี่เป็นตัวอย่างประวัติศาสตร์ในระยะแรกๆ   กล่าวถึงพระทัยอันกว้างขวางของกษัตริย์ไทย   ผู้ทรงนับถือพุทธศาสนา ซึ่งเป็นประเพณีและปฏิบัติตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้
 
ในรัฐธรรมนูญไทยขนานนามพระมหากษัตริย์ว่าเป็นองค์อุปถัมภ์ศาสนาทุกศาสนา และทุกๆ ปี ผู้แทนของศาสนาต่างๆ ยกเว้นศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ ได้รับพระราชทานให้เข้าเฝ้า พระองค์ทรงทราบและตระหนักถึงงานของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง พระองค์ทรงสบพระทัยในการปฏิบัติในศาสนา สนับสนุนเขา และทรงบริจาคสิ่งของเพื่อช่วยเหลือทั้งด้านศาสนาและงานกุศล
 
กลับมากล่าวถึงคุณพ่อแบลคีออร์ด  และความพยายามในการดำเนินงานแพร่ธรรมของท่านต่อไป    ต้องสังเกตว่าคุณพ่อเป็นบุคคลที่กล้าหาญชาญชัยและมีหัวคิดอย่างยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง  ท่านไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักในเรื่องเกี่ยวกับงานเผยแพร่พระคริสตศาสนา  บางทีอาจจะเป็นเพราะความเป็นผู้กล้าหาญมีสติปัญญาและความไม่เกรงกลัวต่ออันตรายใดๆ  ทั้งสิ้นนั้น ได้ดึงดูดให้สมเด็จพระนเรศวรทรงสบพระทัยมาก  ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ตัวพระองค์ท่านเองก็มีอยู่อย่าง
 
พร้อมมูล ฉะนั้น  ชาวไทยจึงถือว่าพระองค์เป็นหนึ่งในบรรดากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย  โดยขนานพระนามว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช แม้เมื่อพระองค์ได้ทรงพระประชวรหนัก คุณพ่อแบล คีออร์ก็ได้เสี่ยงกับความยุ่งยากและอันตราย เข้าไปในราชสำนักกรุงตะนาวศรี ปัจจุบันคือ ประเทศพม่า โดยเร่งด่วนในนามของมิชชันนารี และนี่ก็มิได้ทำให้ความช่วยเหลือของพระองค์   ลดน้อยลงไป  เมื่อพระองค์ทรงฟื้นจากพระประชวร  งานแพร่ธรรมนี้ได้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งยังผลให้บรรดามิชชันนารีองค์ต่อๆ  มาสามารถเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรได้
 
เราพบว่าคุณพ่อเปโดร โลบาโต และเปโดร มาสคาเรนอาส ซึ่งได้ทำงานอยู่ก่อนในมิสซังมะละกา ในรายชื่อของบรรดามิชชันนารีที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ต่อมาก็มีคุณพ่อเยโรนิโม เดอ ซัน โดมินโกส และคุณพ่อยอง ดี ซานโต สปีริโต มาร่วมด้วย คุณพ่อองค์สุดท้ายนี้ได้สิ้นชีวิตในประเทศไทย แต่งานแพร่ธรรมที่กำลังรุ่งโรจน์ทั้งหมดนี้หาได้เรืองรองอยู่ได้นานนักไม่ อาจจะเป็นตั้งแต่การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งสวรรคตในปี ค.ศ. 1605 คุณพ่อแบลกีออร์เองก็ได้ออกจากประเทศไทยเมื่อปี ค.ศ. 1602 เพื่อทำงานในมิสซังอาราคันในประเทศเบงกอล และที่เมืองนี้เองมิชชันนารีผู้กล้าหาญแสนทรหดผู้นี้ได้เสียชีวิตโดยจมน้ำตายในตอนที่ท่านข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งในเมืองนั้น
 
สมเด็จพระเอกาทศรถ พระอนุชาผู้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อองค์พระเชษฐา ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระนเรศวร พระองค์ทรงจดจ่ออยู่กับการที่จะพัฒนาประเทศของพระองค์ ได้ทรงเปิดการติดต่อกับประเทศดัช,  ประเทศอังกฤษ และญี่ปุ่น พวกสเปนได้มาก่อนประเทศเหล่านี้นานตั้งแต่ ค.ศ. 1598  สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่  คุณพ่อคณะเยสุอิตองค์แรกที่จะพักอยู่อย่างถาวรในเมืองไทยได้เดินทางมาถึง  ท่านผู้นี้คือ คุณพ่อบัลทาซาร์ เดอ เซเกรา  คุณพ่อเบนโน  เบียรมาน  นักประวัติศาสตร์คณะโดมินิกันประมาณว่าเป็นเวลาราวปลายปี  ค.ศ. 1606  แต่นักประวัติศาสตร์คนอื่นๆ  เช่นหนังสือพจนานุกรมคาทอลิกปี ค.ศ. 1963  ที่พระสงฆ์คณะเยสุอิตพิมพ์ที่กรุงเทพฯ  ว่าเป็นปี  ค.ศ. 1609 คณะฟรันซิสกันองค์หนึ่งชื่อ คุณพ่ออันดรู ได้มาทำงานในประเทศปี ค.ศ. 1616 ในวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1616  คุณพ่อฟรังซิสโก ดา อันนุนชีอา  ได้มาถึง ท่านได้เคยแสดงความสามารถในทางเป็นทูตการเมืองในนามอุปราชอินเดียมาแล้วอย่างน่าพิศวง ดอน เยโรม เดอ อา เซวาโด    และท่านได้ถูกส่งมายังเมืองไทยเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับมะละกา  ซึ่งได้หยุดพักไว้ชั่วคราว ท่านทำงานที่ได้รับมอบหมายมาอย่างได้ผลดี   แต่มิได้มีการกล่าวถึงมิชชันนารีคณะโดมินิกันที่ถูกส่งมาทำงานแพร่ธรรมเลย คุณพ่อเปโดร เดอ มอเรฮอน และคุณพ่ออันโตนิโอ ฟรันซิสโก การ์ดิน สามารถเข้าประเทศเพื่อดำเนินการแพร่ธรรมได้ต่อไป ในปี ค.ศ. 1619  แต่อาจจะเป็นเพราะพวกท่านเห็นว่าคงจะทำอะไรไม่ได้มากนัก และสถานการณ์ก็ไม่ค่อยจะอำนวยด้วย   ท่านจึงได้ไปดำเนินงานที่ประเทศญี่ปุ่นต่อไป
 
อย่างไรก็ตามคุณพ่อการ์ดินก็ได้กลับมาเมืองไทยเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ คือปี ค.ศ. 1629-1630 ในปี ค.ศ. 1627 ทั้งพวกคณะฟรันซิสกันและคณะโดมินิกันก็ได้พยายามตั้งต้นทำงานแพร่ธรรมขึ้นใหม่ คุณพ่อยูลีอุส ซีซาร์ มารยีโก ได้เข้าร่วมทำงานทางฝ่ายของคณะโดมินิกันต่อมา   คุณพ่อลูกาซ เดอ ซันตา กาทารีนา แจ้งให้เราทราบว่าบางครั้งบางคราวก็อาจจะลองเสี่ยงดูว่าจะได้ผลแค่ไหนเพียงใด และบางทีก็ได้มาไม่เพียงพอ แต่ตามทัศนะที่ควรเชื่อก็เห็นจะเป็นเพราะสถานการณ์นั่นเอง
 
ประเทศไทยในปี ค.ศ. 1631 ก็ต้องประสบกับความหายนะทางการเมืองอีก ราชวงศ์ต่อมา ที่สถาปนาขึ้นครองอำนาจเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่คือ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งได้เสวยราชย์อยู่จนถึงปี ค.ศ. 1656 ตอนแรกกษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงโปรดปรานพวกดัชและไม่ทรงชอบพวกโปรตุเกส แน่นอนย่อมเป็นลางไม่ดีสำหรับบรรดามิชชันนารีที่เป็นพวกเดียวกับชาวโปรตุเกส    และสำหรับชาวคริสตชนส่วนใหญ่ก็เป็นชาวโปรตุเกสเสียด้วย  ศาสนาคริสต์ก็ย่อมเกี่ยวพันกับชาวโปรตุเกสนั่นเอง
 
อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเปลี่ยนพระทัยในเวลาต่อมาในปี ค.ศ. 1639 คราวนี้ความไม่วางพระทัยของพระองค์พุ่งตรงไปยังพวกดัช ซึ่งพระองค์ทรงเกรงว่าพวกนี้จะรุกล้ำอธิปไตยของเมืองไทย    พระองค์มีพระบรมราชโองการให้ประหารพวกดัชทุกคนที่ทำการรุกล้ำดังกล่าวนั้น และทรงพยายามหาทางฟื้นฟูการติดต่ออย่างพระสหายกับพวกโปรตุเกสต่อไป
 
ลูกาส เดอ ซันตา มารีอา ได้บรรยายว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงส่งโปรตุเกส ผู้หนึ่งไปยังมะละกาเพื่อการนี้ ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงทราบดีว่าพวกดัชรบกับพวกโปรตุเกสเพื่อความยิ่งใหญ่ในทางจะเอาเป็นเมืองขึ้นในแถบนี้ เราทราบว่าเมืองมะละกาได้เคยถูกยึดจากชาวดัชในปี ค.ศ. 1640-1641 คุณพ่อลูกาส เดอ ซันตา มารีอา ได้กล่าวในปี ค.ศ. 1639 ดังนั้นพวกโปรตุเกสจึงต้องไปที่มาเก๊า
นายพล ผู้ดูแลมาเก๊าคือ ดอน เซบาสเตียน โลโบ ได้รับข้อเสนอและได้ส่งทูตมายังราชสำนักไทย และยังได้จัดส่งมิชชันนารีมาด้วยเพื่อจุดประสงค์นี้ คุณพ่อแอนโทนี ดี ซาน โดมินโคส และคุณพ่ออาซินท์ซีเมเนส ได้เข้าหาผู้ใหญ่อาสาสมัครเข้ารับใช้ และได้มายังมิสซังไทย เพื่อ ประโยชน์ในโชคชะตาของชาวคริสต์    เมื่อท่านมาถึงเมืองไทยก็ได้พบเห็นพวกคริสตังได้ถูกเบียด เบียนและถูกข่มเหงรบกวนอย่างหนักจากชาวดัชและชาวไทย  ส่วนใหญ่ถูกจับเป็นทาส ชะตากรรม นี้เกิดขึ้นกับพวกเขาในการปฏิวัติครั้งสุดท้าย   คริสตชนส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่โดยไม่รู้จักศาสนาของพวกเขา เขารู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจอย่างที่สุด แต่บรรดามิชชันนารีมิได้เสียกำลังใจ เขาได้รับพระมหากรุณาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ประทานที่อยู่อย่างดีเลิศในบริเวณที่ดีแห่งหนึ่งในตัวเมืองให้โบสถ์เก่าๆ หลังหนึ่ง  ได้ถูกรื้อทิ้งโดยไม่ถูกต่อต้านจากประชนชนที่ไม่ใช่คริสตัง และโบสถ์หลังหนึ่งก็ได้ถูกสร้างขึ้นบนที่ตรงนั้นเอง  คุณพ่อลูกาส     ได้เล่าถึงเรื่องนี้อย่างภูมิใจยิ่ง 
 
ดังนี้ ด้วยคำพูดด้วยตัวอย่างที่ทำให้เห็น พวกมิชชันนารีได้พยายามปลุกปลอบใจบรรดาคริสตัง และในเวลาเดียวกันก็ได้หาทางโปรดศีลล้างบาปให้คนอื่นๆ อีกเป็นอันมาก โดยมิได้เอาใจใส่ว่าเจ้าหน้าที่ในท้องที่จะคิดหรือจะขู่แต่อย่างใด
 
ครั้งหนึ่งเมื่อมีการกบฎต่อพระมหากษัตริย์เกิดขึ้น บรรดาพระสงฆ์ก็ได้ถูกจับจองจำในคุก แต่ในคุกนั่นเองท่านได้ดำเนินงานของท่านต่อไป ได้ทำให้ผู้คนกลับใจเป็นจำนวนมาก ท่านได้ชนะทั้งไม่ว่าผู้คนหรือนักโทษ และนักโทษหลายคนได้ขอให้ท่านโปรดศีลล้างบาปให้
 
ต่อมาเมื่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้สงบลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว บรรดามิชชันนารีรุ่นใหม่ก็ได้ถูกเรียกมาช่วยแพร่ธรรม ในบรรดาพวกที่มานี้ก็มี คุณพ่อโยเซ ดี ซันตา มารีอา, คุณพ่อซีเมา ดีอันนอส ยาว ดี ซัน กอนซาแลส, คุณพ่อมานูแอล ดี ฟอนเซกา, คุณพ่อยาว ดี ซานโดมินโกส และต่อมาก็มีคุณพ่อเดนิส และคุณพ่อหลุยส์ โด โรซารีโอ โดยกิจกรรมและการเสียสละของท่านเหล่านี้ผู้เป็นข้าช่วงใช้ที่แท้จริงแห่งพระวรสาร ศาสนาคริสต์ในประเทศไทยได้เจริญขึ้นจนถึงปี ค.ศ. 1662 ในปีนี้เองข่าวเล็กๆ น้อย ๆ ที่เกี่ยวกับการแพร่ธรรมของคณะโดมินิกันในเมืองไทยก็สิ้นสุดลง ในช่วงระยะเวลา 95 ปี มีการหยุดชงักลงนี้ นับเนื่องจากความวิบัติทางการเมืองบ้าง การเบียดเบียนศาสนาบ้าง และความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน การแพร่ธรรมของสงฆ์โดมินิกันในไทยอยู่ในความอารักขาของสังฆมณฑลคณะโดมินิกันชาวโปรตุเกส และดังที่คุณพ่อลูกาส เดอ ซันตา คาทารีนา แจ้งไว้ 
 
"มันเป็นข้อมูลสำหรับประวัติศาสตร์ที่เราได้มา..."
 
จากเรื่องราวที่ได้บรรยายมานี้ เราสามารถที่จะเห็นได้ว่าบรรดาพระสงฆ์คณะโดมินิกันเหล่านี้ได้ทำงานเป็นเวลาอันยาวนานด้วยความยากลำบาก เพื่อจะปลูกฝังพระศาสนจักรในประเทศไทย พวกท่านเหล่านั้นสามารถที่จะภาคภูมิใจในผลงานที่เกิดขึ้น ในหนังสือบันทึกประวัติการแพร่ธรรมที่เกี่ยวกับพระศาสนจักรในประเทศไทย เป็นประวัติศาสตร์เล่มเล็กๆ ที่น่ารู้เล่มหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์แก่ชาวไทยคาทอลิกของเรา ซึ่งมีส่วนแบ่งในมรดกแห่งความเชื่อที่ได้ถูกหว่านลงโดยท่านผู้เรืองนามแห่งพระศาสนาเหล่านี้ ซึ่งได้เสียสละกระทั่งถึงถูกจองจำติดคุกติดตะราง  และหลั่งเลือดในสมัยนั้น ชาวไทยคาทอลิกทุกวันนี้ได้รับความสุขจากผลของความเหนื่อยยาก ความเสียสละอย่างเหนียวแน่นไม่ยอมให้หลุดพ้นไปได้ วีรชนแห่งความเชื่อเหล่านี้ไม่มีใครสรรเสริญ   ไม่มีผู้ใดรู้จักมาช้านาน    ถูกมองข้ามและถูกลืม  ท่านควรจะได้รับตำแหน่งแห่งเกียรติยศชื่อเสียง   อันพึงมีพึงได้ด้วยความเป็นธรรมเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านได้เป็นส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกคาทอลิก  ที่ได้มอบให้แก่พระศาสนจักรของประเทศไทย
 
โดยพระญาณสอดส่องแห่งพระเจ้า พระศาสนจักรในประเทศไทยเป็นหนี้พระคุณอันใหญ่หลวงแก่คุณพ่อแห่งคณะนักเทศน์ (คุณพ่อคณะโดมินิกัน) เพราะว่าท่านเหล่านี้แหละที่ได้หว่านเมล็ดพืชแห่งความเชื่อลงในประเทศไทย
 
บทความทั้ง 2 ภาคของคุณพ่อ Rocco นี้มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้เรื่องราวของคณะโดมินิกันในสยามอย่างมาก เอกสารที่คุณพ่อได้อ้างถึงนั้น ได้แก่  จดหมายของ   Fernando   di   S. Maria   เราสามารถพบได้ใน Monumenta Ordinis Fratrum Praedicatorum Historica, Tomo X, Acta Capitulorum Generalium, vol. V, Rome, 1901, pp. 149-153 เขียนเป็นภาษาลาติน และคุณพ่อร็อคโกก็ได้ชี้แจงเรื่องราวต่างๆ   ที่เกิดขึ้นโดยใช้เอกสารนี้ส่วนหนึ่ง เอกสารได้ชี้ให้เห็นว่า  ปี  ค.ศ. 1567   เป็นปีที่คณะโดมินิกันเข้ามาในสยาม   ไม่ใช่ปี ค.ศ. 1555 ดังที่หลายฝ่ายเข้าใจกัน
 
นอกจากนี้ยังมีหนังสืออีกเล่มหนึ่งคือ Compendium Historiae Ordinis Praedicatorium เขียนโดย A. Walz พระสงฆ์คณะโดมินิกัน พิมพ์ที่กรุงโรมในปี ค.ศ. 1948 หน้า 497 ก็ได้ยืนยัน  ปี ค.ศ. 1567   นี้เช่นเดียวกัน และได้กล่าวชื่อของมิชชันนารี 2 ท่านแรกตรงกันทีเดียว
 
ในระหว่างที่สยามมีสงครามกับพม่าในปี ค.ศ. 1569 ซึ่งเป็นปีที่พม่ายึดกรุงศรีอยุธยาไว้ได้ พวกพม่าได้พบมิชชันนารี 3 ท่านกำลังสวดภาวนาอยู่ในวัด พวกพม่าได้ตัดศีรษะพวกท่านเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1569 เนื่องด้วยพวกท่านทำงานอยู่ในสยาม เรื่องนี้เราสามารถพบได้ในเอกสารของชาวโปรตุเกสซึ่ง Da Silva ในหนังสือของเขาชื่อ Documentacao para a Historia das Missoes   do Padroado Portugues do Oriente, หน้า 460-461และในหนังสือ Portugal na Tailandia ของ Teixeira   หน้า 281 จึงเป็นไปได้ว่าทั้ง 3 ท่านนี้คงได้แก่ คุณพ่อเซบาสติอาว ดา กันโต กับมิชชันนารีอีก 2 ท่าน ที่ท่านได้นำมาจากมะละกา เพราะปี ค.ศ. 1567 และ 1569 นั้นอยู่ในระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์นี้พอดี
 
เหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นกับคุณพ่อ Jorge da Mota และคุณพ่อ Fonseca คือได้ถูกฆ่าตายในสยาม เราทราบจากหนังสือเล่มเดียวกันนี้ การทำงานของคณะโดมินิกันในสยามมีอุปสรรคอยู่เสมอ จนกระทั่งในระหว่างปี ค.ศ. 1601-1619 คุณพ่อ Francisco da Anunciacao ได้ปักหลักสำเร็จในสยาม งานแพร่ธรรมของคณะโดมินิกันในสยามดำเนินต่อมาโดยมีการขาดตอนอยู่บ้างจนกระทั่งถึงปี  ค.ศ. 1783
 
ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับคณะโดมินิกันในสยาม   ผมขอแนะนำให้อ่านหนังสือของ   Teixeira    และขอให้มีความรู้ภาษาโปรตุเกสด้วย   เพราะในหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกหลายประการทีเดียว
 
มิชชันนารีคณะฟรันซิสกันและคณะเอากุสติเนียนในสยาม 
เกี่ยวกับเรื่องราวของคณะฟรันซิสกันในระยะแรกนั้น เรายังไม่ทราบอะไรมากนัก จากการศึกษาเอกสารของโปรตุเกส Da Silva ได้เล่าให้เรารู้แต่เพียงชื่อของมิชชันนารีและระยะเวลาที่เข้ามาอยู่ในสยามเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่เราสามารถจะศึกษากันได้ต่อไป แต่ผมก็ยังเชื่อว่าเราจะรู้อะไรมากคงไม่ได้   Teixeira  เองก็ยังไม่ได้ให้ข้อมูลมากนัก
 
ข้อสังเกตประการหนึ่งก็คือ แต่เดิมเราเชื่อว่ามิชชันนารีฟรันซิสกันเข้ามาในสยามครั้งแรกในปี ค.ศ. 1584-1585 ผมได้รับหนังสือประวัติของคณะฟรันซิสกันเล่มหนึ่งชื่อ P. LORENZO PEREZ,O.F.M., Origen DE LAS Missiones Franciscanas en el Extremo Oriente, Madrid 1916    ซึ่งเป็นหนังสือที่ศึกษามาจากเอกสารของคณะในหอจดหมายเหตุ Archivo Ibero-Amenicano เลขที่ I, II, III, IV, V, VII, IX, XI, XIII, XV, XVIII. หนังสือนี้เขียนเป็นภาษาสเปน ได้ให้เรื่องราวส่วนหนึ่งที่น่าศึกษา เสียดายที่ผมยังไม่เข้าใจภาษาสเปนดีพอ จึงยังไม่สามารถศึกษาได้ ยังมีหนังสือ  อีกเล่มหนึ่งคือ P. MARENLO DE RIBADENEIRA, Historia de las Islas del Archipielago Filipino y Reinos de la Jean China, Tartaria, Cochinchina, Malaga, Siam,  Cambodge y japon, Madrid 1947  โดยคณะฟรันซิสกันเป็นผู้จัดพิมพ์ขึ้น   ก็มีเรื่องราวของคณะนี้ในสยามอยู่บ้างเหมือนกัน
 
จากหนังสือ 2 เล่มนี้รวมทั้งงานเขียนของ Da Silva และ Teixeira เราทราบว่า มิชชันนารีคณะนี้เข้ามาในสยามครั้งแรกในปี ค.ศ. 1582 รายชื่อและกิจการต่างๆ ของพวกมิชชันนารีก็มีให้พวกเรารู้ได้บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก จึงเป็นเรื่องที่สามารถศึกษาค้นคว้าได้ต่อไป ปีสุดท้ายที่เราพบพวก ฟรันซิสกันในสยาม ได้แก่ ปี ค.ศ. 1755 ปัจจุบันนี้มีนักบวชคณะฟรันซิสกันเข้ามาทำงานในประเทศไทยเมื่อเร็วๆ นี้เองอีกครั้งหนึ่ง
 
ส่วนเรื่องราวของคณะเอากุสติเนียนในสยาม เรายิ่งรู้น้อยกว่าคณะอื่นๆ เราทราบแต่เพียงชื่อของมิชชันนารีคณะนี้ที่เข้ามาในสยาม และมีการบันทึกไว้ในเอกสารเท่านั้น มิชชันนารีคณะนี้เข้ามาในสยามระหว่างปี ค.ศ. 1677-1704 จากนั้นเราก็ไม่ทราบอะไรอีกเลยเกี่ยวกับคณะนี้ในสยาม  จากการอ่านหนังสือของ Teixeira ได้บอกแต่เพียงว่าในปี ค.ศ. 1704 นั้นคุณพ่อ Estevao de Sousa ได้สร้างโรงพยาบาลขึ้นมาเพื่อชาวโปรตุเกสในสยาม
 
ดังนั้น   นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเปิดกว้างสำหรับการศึกษาต่อไป   เนื่องจากยังมีเอกสารภาษาโปรตุเกสและสเปนอีกมากที่ยังมิได้รับการศึกษาเลย
 
มิชชันนารีคณะเยสุอิตในสยาม
เรื่องราวของคณะเยสุอิตในสยามนี้ ดูเหมือนว่าเราสามารถรู้ได้มากกว่าคณะอื่นๆในบรรดา มิชชันนารีรุ่นแรกๆ ที่เข้ามาในสยาม ทั้งนี้เป็นเพราะว่ามิชชันนารีเหล่านั้นชอบบันทึกและส่งบันทึกนั้นกลับไปที่คณะของตนอยู่เสมอ ประกอบกับคณะนี้ชอบการศึกษา ดังนั้น  การเก็บเอกสารต่างๆ ก็เก็บไว้อย่างดี คณะเยสุอิตในประเทศไทยก็สนใจเรื่องราวของตนเองมาก ได้ศึกษาและได้จัดทำประวัติของคณะตนเองขึ้นมาด้วย    คณะเยสุอิตมีบทบาทอย่างสำคัญในพระศาสนจักร มิชชันนารี     ก็เป็นผู้ที่ทุ่มเทเพื่อการประกาศพระวรสาร และมีชื่อเสียงหลายต่อหลายท่าน เป็นมรณสักขี  ก็มากมาย ดังนั้นการศึกษาเรื่องนี้จึงน่าสนใจอยู่มิใช่น้อย
 
เยสุอิตองค์แรกในสยาม
นักประวัติศาสตร์ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเยสุอิตองค์แรกที่เข้ามาในสยามนั้น ได้แก่ คุณพ่อบัลทาซาร์ เซเกอีรา  (Balthasar Sequeira)  ชื่อนั้นตรงกันหมด  แต่มักจะบอกปีที่เข้ามาแตกต่างกันไป เช่น หนังสือประวัติศาสตร์พระศาสนจักรในประเทศไทย ที่สารสาสน์พิมพ์ขึ้นมา บอกว่าเป็นปี ค.ศ. 1609, Wood และ Hutchinson นั้นบอกว่าเป็นปี ค.ศ. 1606 พระสงฆ์เยสุอิตผู้หนึ่งชื่อ J.Burnay, Notes Chronologiques sur les Missions Jesuits du Siam au XVII Siecle, AHSI, XXII (1953) 171 หลังจากได้ตรวจสอบเอกสารต่างๆ และศึกษาจากหนังสือต่างๆ โดยเฉพาะของ Du  JARRIC แล้ว ก็ได้สรุปออกมาอย่างชัดเจนว่า คุณพ่อบัลทาซาร์ได้เดินทางออกจาก San Tome ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1606 และมาถึง Merqui, Tenasserim ประมาณเดือนธันวาคมและมกราคม และในที่สุดก็เดินทางมาถึงอยุธยาระหว่างอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ของปี  ค.ศ. 1607  นั่นคือประมาณระหว่างวันที่  19-26  มีนาคม   ค.ศ. 1607
 
ผู้ที่กล่าวว่าปี ค.ศ. 1606 นั้นเราก็สามารถพูดได้ว่าไม่ผิด เพราะเวลานั้น Merqui และ Tenasserim ยังเป็นของสยามอยู่ นักเขียนในสมัยนั้นคือ S. Purchas, Relations of the World Asia (the Fifth Book) พิมพ์ที่ London ในปี ค.ศ. 1617 เป็นครั้งแรกได้ให้ความเห็นที่สอดคล้องกับเรื่องนี้ในหน้า 556 ว่า
 
"ในปี ค.ศ. 1606 บัลทาซาร์ เซเกอีรา เยสุอิตขึ้นบกที่ Tenassary และเดินทางผ่านไปข้ามแม่น้ำลำธาร ข้ามห้วยเนินที่ลำบากและกันดาร ข้ามป่าเขาลำเนาไพร จนกระทั่งมาถึง Odia"
 
จากการศึกษาประวัติของคุณพ่อผู้นี้ โดยใช้เอกสารที่เก็บอยู่ในหอจดหมายเหตุคณะเยสุอิต  ที่กรุงโรม เราทราบว่าท่านเกิดที่ลิสบอนในปี ค.ศ. 1511 รับเข้าคณะในปี ค.ศ. 1566 ออกเดินทางจากลิสบอนเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1578 มุ่งสู่อินเดียด้วยเรือชื่อ เซนต์หลุยส์ ซึ่งเป็นเรือลำหนึ่งในขบวนเรือที่ออกไปสู่อินเดียทุกปี ท่านได้ถวายมิสซาแรกที่ San Roque  เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1579   พร้อมกับเพื่อนๆ อีก 13 องค์ ซึ่ง 1 ใน 3 องค์นี้ได้แก่ คุณพ่อ Matteo Ricci ซึ่งเป็นมิชชันนารี  ที่มีชื่อเสียงมากของคณะเยสุอิตที่ทำงานในประเทศจีน
 
คุณพ่อบัลทาซาร์ได้เรียนและทำงานอภิบาลบ้าง สอนภาษาลาตินบ้างในอินเดียนี้จนถึงปี ค.ศ. 1605   แรกทีเดียวคุณพ่อบัลทาซาร์ และคุณพ่อ Joao Costa ถูกกำหนดให้เดินทางไปแพร่ธรรมที่ Pegu แต่บังเอิญเกิดสงครามในพม่า  จึงเห็นว่าอันตรายเกินกว่าจะเดินทางไปได้  ในระหว่างรัชสมัยของพระเจ้าเอกาทศรถ (ค.ศ. 1605-1610) ซึ่งครองราชย์สืบต่อจากพระนเรศวร  คณะทูตไทยคณะหนึ่งถูกส่งไปเข้าพบผู้แทนพระมหากษัตริย์โปรตุเกสที่เมืองกัว  ทั้งนี้เพื่อฟื้นฟูสัมพันธภาพกับอินเดีย ทูตผู้นั้นมิได้นำพระราชสาสน์ไปมอบให้แก่ผู้แทนพระมหากษัตริย์โปรตุเกสแต่อย่างเดียว แต่ยังได้นำจดหมายส่วนพระองค์หลายฉบับไปมอบให้แก่ชาวโปรตุเกสบางคนที่เคยอาศัยอยู่ในสยามและรู้จักกับพระองค์ด้วย และหนึ่งในจำนวนคนเหล่านั้นคือนาย Tistao Golayo ตอนนั้น Golayo อยู่ที่ San Tome และเคยมีมิตรภาพส่วนตัวกับพระมหากษัตริย์ไทยเมื่อครั้งที่พระองค์   ยังทรงเป็นเจ้าฟ้าอยู่  Golayo  ตัดสินใจกลับมายังสยาม   เพราะตระหนักดีว่ามิตรภาพเช่นนี้เอื้ออำนวยและเป็นผลดีกว่าการอยู่ที่อินเดีย Golayo  เอง ยังเป็นเพื่อนที่ดีของคณะเยสุอิตด้วย ประจวบกับเวลานั้นที่อินเดีย คุณพ่อเจ้าคณะแขวงของเยสุอิตอยู่ที่นั่นด้วยคือ คุณพ่อ Gaspar Fernandes เขาจึงขอให้ส่งพระสงฆ์เยสุอิตบางองค์มาที่สยามกับตน  เพื่อเรียนรู้ลักษณะนิสัยและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวสยาม
 
คุณพ่อเจ้าคณะแขวงผู้นี้เอง เป็นผู้มีความกระตือรือร้นเต็มเปี่ยมเพื่อพระราชัยของพระเป็นเจ้า ได้มองเห็นโอกาสสำคัญนี้ที่จะเปิดภารกิจใหม่ขึ้นมา จึงได้ส่งคุณพ่อเซเกอีราและมอบหมายภารกิจนี้ให้
 
เราไม่ทราบว่าท่านได้ทำอะไรไว้บ้างในสยามในขณะที่ท่านอยู่ เรารู้แต่เพียงว่าท่านอยู่ที่สยามเป็นเวลาประมาณ 2 ปีครึ่ง ท่านค่อนข้างชราแล้วเพราะท่านอยู่ที่อินเดียเป็นเวลานานถึง 30 ปี แต่เนื่องจากท่านเป็นเยสุอิตคนเดียวที่มีอยู่เวลานั้นและสามารถไปสยามได้ ท่านจึงเป็นผู้ถูกเลือก ราวๆ  ปลายปี ค.ศ. 1609 ท่านป่วยและต้องการกลับไปที่เมืองกัว หรือ โคชิน  (แคว้นหนึ่งในอินเดีย)
 
อย่างไรก็ตาม ท่านเสียชีวิตระหว่างที่ท่านเดินทางกลับนั่นเองที่เมือง Piple (ปัจจุบันคือ เมืองเพชรบุรี) ในหอจดหมายเหตุของคณะเยสุอิตได้บันทึกเรื่องราวของท่านไว้โดยบอกด้วยว่า ท่านมีอายุระหว่าง 55 หรือ 59 ปี นอกจากนี้ De Marini สงฆ์เยสุอิตอีกผู้หนึ่งที่เข้ามาสยามหลังจากท่านเขียนบันทึกไว้และพิมพ์เป็นหนังสือในปี 1663 เล่าเช่นเดียวกันว่า "เป็นเวลา 50 ปีมาแล้วที่คุณพ่อ Baldassar Sequeira สมาชิกคณะของเราได้เข้ามาและนำพระวรสารมาสู่อาณาจักรนี้ ท่านป่วยและปรารถนาจะกลับไปที่ Goa หรือ Cochin แต่ท่านก็เสียชีวิตในระหว่างการเดินทางที่เมือง Piple"  จากการศึกษาของ   Du  Jarric   เราทราบด้วยว่าท่านได้พยายามทำงานที่สยามเพื่อความรอดของวิญญาณ   และท่านยังได้ติดต่อกับพระสังฆราชแห่งมะละกาหลายครั้ง   เพราะเป็นผู้มีอำนาจทางพระศาสนจักรเหนือสยาม
 
บ้านเยสุอิตแห่งแรกในอยุธยา (ค.ศ.1626-1632)
เบื้องต้นนั้น  งานของคณะเยสุอิตในสยามยังขาดบุคคลากรที่จะทำงานในสยาม งานจึงขาดช่วงอยู่นานพอสมควร   การเข้ามาของสงฆ์เยสุอิตก็มีความเป็นมาแตกต่างกัน  ดังจะเห็นได้จากการเข้ามาของคุณพ่อ Morejon, คุณพ่อ Antonio Francesco Cardim และคุณพ่อ Romano Nixi   สงฆ์ญี่ปุ่น
 
คุณพ่อ Morejon เข้ามาในสยามโดยบังเอิญ ในขณะที่คุณพ่อ Cardim ผ่านมาเท่านั้นเพื่อเดินทางไปลาว คุณพ่อ Morejon เป็นพระสงฆ์ชาวสเปน อายุ 63 ปี เกิดในปี ค.ศ. 1562 เข้าคณะเยสุอิตในปี ค.ศ. 1577 ออกจากยุโรปในปี ค.ศ. 1586 และทำงานเป็นเวลานานในญี่ปุ่น ท่านเดินทางกลับไปยุโรปในฐานะผู้ดูแลแขวงญี่ปุ่น แต่ด้วยกระแสเรียกแห่งธรรมทูต ท่านมีความปรารถนาที่จะกลับไปญี่ปุ่น จากหนังสือของ Marini เราทราบว่าท่านเป็นหลานชายของอัครสังฆราชแห่ง Toledo ในปี ค.ศ. 1625 ในขณะที่ท่านเดินทางกลับไปญี่ปุ่น ท่านเดินทางมาที่มะละกาและเมื่อดูสถานการณ์ต่างๆแล้ว ท่านตัดสินใจเดินทางมาสยามเพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมในอันที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นต่อไป ท่านเดินทางมาถึงเมือง Ligor (ปัจจุบันคือ จังหวัดนครศรีธรรมราช) และได้รับทราบจาก Antonio Gonzalves Cavalleiro ชาวโปตุเกสซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีของคณะเยสุอิตว่า ไม่นานมานี้ เกิดเหตุการณ์ ไม่เข้าใจกันระหว่างชาวสเปนที่มาจากฟิลิปปินส์ กับชาวสยาม
 
นอกจากนี้ยังได้เล่าให้คุณพ่อ Morejon ทราบเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการทำงานแพร่ธรรมในสยาม เขาได้เล่าว่า  Fernando de Silva ผู้บัญชาการจากฟิลิปปินส์ได้เข้ายึดเรือของชาวดัชในแม่น้ำเจ้าพระยา ดังนั้นกษัตริย์สยามจึงสั่งให้จับ Fernando พร้อมทั้งทหารทั้งหมด Fernando ได้ต่อสู้จนเสียชีวิต ทหารบางคนได้ถูกฆ่าตาย และอีก 30 คน ถูกจับขังคุก เมื่อคุณพ่อ Morejon ได้ทราบเรื่องนี้แล้ว ท่านก็เปลี่ยนแผนเดินทางทันที  โดยเดินทางไปกัมพูชาแทน แต่จากกัมพูชาท่านก็ไม่สามารถหาโอกาสเดินทางไปญี่ปุ่นได้เลย  ดังนั้นในที่สุด  ท่านก็จำต้องเดินทางไปฟิลิปปินส์ และถึงที่นั่นราวๆ ครึ่งปีแรกของ ค.ศ. 1625 โดยมุ่งหวังที่จะไปญี่ปุ่นเช่นเดิมโดยผ่านทางมาเก๊าอีกทอดหนึ่ง
 
ผู้ปกครองฟิลิปปินส์เวลานั้นคือ Fernando de Silva (คนละคนกับผู้บัญชาการทหารที่ถูกฆ่าตาย) ได้สนทนากับคุณพ่อ Morejon ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1624 ที่สยาม คุณพ่อ Morejon มีประสบการณ์อันยาวนานกับชาวญี่ปุ่น และทหารองครักษ์ของกษัตริย์สยามซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นด้วย   ก็มีอิทธิพลมากในสยามเวลานั้น และก็เป็นชาวญี่ปุ่นนี้แหละที่ได้ร่วมต่อสู้กับผู้บัญชาการ Fernando
 
อย่างไรก็ตาม คุณพ่อ Morejon ก็จำต้องเดินทางไป Macao ตามหมายกำหนดการ ดังนั้น ผู้ปกครองฟิลิปปินส์จึงได้เขียนจดหมายถึงอธิการคณะเยสุอิตที่ Macao โดยขอให้คุณพ่อ Morejon รับภารกิจในการไปสยามเพื่อขอเชลยศึกคืนจากสยาม ซึ่งอธิการที่มาเก๊าก็เห็นดีด้วยกับข้อเสนอนี้   จึงให้คุณพ่อ Morejon ไปสยามโดยมีจุดมุ่งหมาย 2 ประการคือ
1. ก่อตั้งสยามให้เป็นดินแดนแพร่ธรรม
2. ปลดปล่อยเชลยชาวสเปนที่อยู่ในคุก
 
อันที่จริง นับว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณพ่อด้วย เพราะเท่าที่ผ่านมาการเข้าประเทศญี่ปุ่นนั้นยากลำบากมาก เนื่องจากมีการเบียดเบียนศาสนาอยู่
 
ในที่สุดคุณพ่อ Morejon ก็ออกจากมาเก๊าเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1625 พร้อมกับเพื่อนอีก 2 ท่าน คือ คุณพ่อ Antonio Cardim ชาวโปรตุเกส และ คุณพ่อ Romano Nixi ชาวญี่ปุ่น หลังจากหยุดพักสั้นๆ ที่ มะนิลาแล้วก็ออกเดินทางจากมะนิลาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1626 และถึงอยุธยาในเดือนมีนาคม ท่านสามารถทำให้ชาวสเปนที่อยู่ในคุกเป็นอิสระได้ ท่านจึงเดินทางกลับมาที่มะนิลาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับนักโทษเหล่านั้น คุณพ่อ Cardim เล่าในหนังสือที่ท่านเขียนไว้ในปี ค.ศ. 1645 ว่าดังนี้
 
"พวกเราเดินทางไปที่มะนิลาและจากที่นั่นก็เดินทางไปสยาม พวกเราเริ่มต้นดำเนินการเพื่อปลดปล่อยชาวสเปนให้เป็นอิสระและก็เป็นผลสำเร็จ คุณพ่อเปโตร (Morejon) ก็เดินทางกลับพร้อมๆ กับชาวสเปน"
 
ส่วนคุณพ่อ Cardim เองในขณะที่หาโอกาสที่จะไปลาวอยู่นั้นก็เริ่มต้นเรียนภาษาสยาม ในขณะที่คุณพ่อ Nixi ก็อภิบาลชาวญี่ปุ่นประมาณ 400 คน ในหนังสือของคุณพ่อ Marini ได้เล่าว่าคุณพ่อ Morejon และคุณพ่อ Cardim ได้สร้างบ้านเยสุอิตหลังแรกในสยาม เป็นไปได้มากที่สุดว่าสร้างอยู่ในค่ายของชาวญี่ปุ่นที่อยุธยานั่นเอง เนื่องจากว่าในศตวรรษที่ 17 นั้น ในกรุงศรีอยุธยามีค่ายของชนต่างชาติอยู่หลายค่ายด้วยกันทางตะวันออกเฉียงใต้ของอยุธยา ตามชายฝั่งแม่น้ำ คุณพ่อ Cardim  ก็ได้พูดถึงบ้านแห่งนี้เมื่อท่านเล่าว่า  คุณพ่อ Nixi  ดูแลอภิบาลชาวญี่ปุ่นในวัดที่สยาม  ที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมา
 
หลังจากที่คุณพ่อ Morejon เดินทางกลับไปมะนิลาแล้ว คุณพ่อชาวอิตาเลียนชื่อ Giulio Cesare Margico ถูกส่งมาอยุธยาเพื่อเป็นอธิการบ้าน ท่านมาถึงในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1627 พร้อมทั้งได้นำจดหมายของผู้ปกครองฟิลิปปินส์มาถวายกษัตริย์สยามด้วย ในจดหมายนั้นได้กล่าวแสดงถึงความพึงพอใจในพระมหากรุณาธิคุณในการแก้ไขปัญหาของชาวสเปนในสยามครั้งนี้ แต่ต้นๆ ปี ค.ศ. 1628 ชาวสเปนก็เริ่มต้นสงครามโจรสลัดกับการค้าของชาวสยามอีก โดยการยึดเรือและเผาเรือของชาวสยาม ชาวสเปนจึงเป็นที่หวาดกลัวของชาวสยามที่ค้าขายทางเรือ ดังนั้น ชาวสยามจึงเกลียดชังคุณพ่อ Margico ด้วย โดยคิดว่าคุณพ่อมีส่วนอยู่ในการหลอกลวงของชาวสเปน  ชาวสยามขู่ท่าน ถึงกับจะเผาท่านทั้งเป็น  ข้อนี้เป็นไปตามคำเล่าของ  Cardim  เอง
 
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงธรรม (ค.ศ. 1628-1629) ก็ได้แสดงพระองค์คู่ควรกับพระนามอย่างยิ่ง ด้วยการปล่อยท่านให้เป็นอิสระ แต่ความเป็นศัตรูของชาวสยามก็ยังคงมีอยู่ ท่านจึงต้องระวังกิจการต่างๆ ที่ท่านกำลังทำ เมื่อพระเจ้าทรงธรรมเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1629 ประเทศสยาม  ก็วุ่นวายไปด้วย ส่วนสงฆ์เยสุอิตเองก็ประสบกับความยุ่งยากเช่นเดียวกัน คุณพ่อ Cardim เขียนเล่าไว้ดังนี้ "สองสามเดือนหลังจากการสวรรคตของพระมหากษัตริย์เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1629 
 
ข้าพเจ้าก็ป่วยหนัก  จนกระทั่งว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงอนุญาตให้ข้าพเจ้าเดินทางออกนอกประเทศได้"
 
ดังนั้นคุณพ่อ Cardim จึงออกจากสยามไปมะนิลา ส่วนคุณพ่อ Margico และคุณพ่อ Nixi นั้น  ก็ถูกคริสตังเลวคนหนึ่งทรยศ  เพราะว่าต้องการให้ตนพ้นจากความผิดบางอย่างที่คุณพ่อ Margico รู้ดี คริสตังคนนี้ใส่ร้ายท่านจนกระทั่งคุณพ่อทั้งสองถูกจับและถูกคุมขัง ชาวญี่ปุ่นสามารถช่วยเหลือจนคุณพ่อ Nixi ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระ แต่ไม่สามารถช่วยเหลือคุณพ่อ Margico ได้ ต่อมาท่านถูกวางยาพิษโดยคริสตังผู้นั้นและเสียชีวิตในคุกในปี ค.ศ. 1630 คุณพ่อ Nixi ยังคงดูแลอภิบาลชาวญี่ปุ่นในสยามต่อไป แต่พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่นี้ไม่ไว้วางใจชาวญี่ปุ่นเหมือนเดิม ในระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1632 ทหารของพระมหากษัตริย์ก็เข้าโจมตี   ค่ายญี่ปุ่น   ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากพร้อมกับคุณพ่อ Nixi ก็หลบหนีโดยเรือ  โดยไปที่เมือง Ligor และจากนั้นก็ต่อไปที่กัมพูชา คุณพ่อ Nixi เดินทางต่อไปมาเก๊า ซึ่งท่านก็เสียชีวิตไม่นาน หลังจากนั้น เป็นอันว่ายุคแรกของคณะเยสุอิตในสยามได้สิ้นสุดลงแล้ว
 
บ้านเยสุอิตหลังที่สอง และวิทยาลัยในอยุธยา (ค.ศ. 1655-1709)
พระสงฆ์เยสุอิตเริ่มเข้ามาในสยามอีกครั้งหนึ่งเมื่อคุณพ่อ Joao Maria Leria เข้ามากรุงศรีอยุธยาในปี ค.ศ. 1639 แต่เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของท่านคือเดินทางไปลาว ดังนั้นเมื่อพักอยู่ที่สยามเป็นเวลาไม่นานแล้ว ท่านก็ออกเดินทางไปจากสยามในปี ค.ศ. 1641
 
ปีต่อมาคุณพ่อ Giovanni Filippo de Marini มาถึงกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1642 คุณพ่อผู้นี้แหละที่ได้บันทึกหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งที่มีคุณค่ามากเกี่ยวกับเยสุอิตในสยาม ซึ่งเราก็ใช้อ้างอิงหลายครั้งแล้วในงานเขียนนี้ อันที่จริงคุณพ่อ Marini มาถึง Tenasserim เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1641 และเดินทางมาถึง Piple (เพชรบุรี) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1642 หลังจากนั้น 11 วันก็มาถึงอยุธยา ครั้งนี้นับเป็นการเข้ามาสยามเป็นครั้งแรกของท่าน เป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่าระยะนี้สงฆ์เยสุอิตที่เข้ามาในสยามนั้น มิได้เข้ามาเพื่อแพร่ธรรม   แต่มักผ่านมาเท่านั้น  คุณพ่อ Marini  มีจุดหมายปลายทางคือญี่ปุ่น ดังนั้นท่านจึงออกจากสยามในปี 1643 ทิ้งสยามให้ปราศจากสงฆ์เยสุอิตจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1655 เมื่อคุณพ่อที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งเข้ามาในสยามคือ คุณพ่อ Tomasso Valguarnera ชาวซิซิเลียนในอิตาลี ท่านผู้นี้เองจะเป็นผู้ก่อตั้งบ้าน เยสุอิตหลังที่สอง และวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า San Salvador เรื่องนี้มีรายงานไว้อย่างชัดเจน  ในหนังสือของ Sommervogel พระสงฆ์คณะเยสุอิต ซึ่งพิมพ์ในปี ค.ศ. 1898 คุณพ่อ Valguarnera เดินทางมาจากมาเก๊าและท่านก็อยู่ในสยามจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1670 จากนั้นท่านได้รับแต่งตั้งจากคณะ ให้เป็นผู้ตรวจการแขวงปกครองจีนและญี่ปุ่นด้วย ท่านกลับมาอยู่ที่สยามอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1675   และเสียชีวิตที่สยามนี้เองเมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1677
 
คุณพ่อ Valguarnera เข้ามาสยามครั้งนี้พร้อมกับคุณพ่อ Francisco Rivas ซึ่งต้องการมาสยามเพื่อผ่านไปโคจินจีน สาเหตุของการมาของคุณพ่อทั้งสองก็เนื่องมาจากว่า คริสตังจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น ได้ขอพระสงฆ์เยสุอิต 1 หรือ 2 องค์  เพื่อมาอภิบาลดูแลวิญญาณพวกเขาในสยาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ Marini เขียนไว้ว่า
 
"เนื่องจากว่าในเมืองมีคริสตชนจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นชาวญี่ปุ่น ได้ตกลงกันเป็นเอกฉันท์และส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปที่มาเก๊า   เขียนถึงผู้ตรวจการของคณะโดยขอร้องให้ท่านส่งพระสงฆ์บางองค์มาอภิบาลดูแลวิญญาณพวกเขา พวกเขาขอพระสงฆ์ 2 องค์ หนึ่งในสององค์นั้นคือ คุณพ่อ Tomasso Valguarnera ชาวซิซิเลียน"
 
กัปตันเรือชาวโปรตุเกสคนหนึ่งชื่อ Sebastiao Andres เดินทางมาถึงอยุธยาในเวลาไล่เลี่ยกับคุณพ่อ Valguarnera และได้ขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกของคณะเยสุอิตในฐานะ Brother ผู้ช่วย  เขาเสียชีวิต 7 เดือนต่อมา โดยทิ้งทรัพย์สินของเขามูลค่า 14,000 Seudi Romani ให้แก่คณะเยสุอิตเพื่อใช้ก่อสร้างวิทยาลัย เขายังไม่ทราบแน่ชัดว่าหากเปรียบเทียบกับค่าเงินในปัจจุบันนี้ ทรัพย์สินจำนวนนี้จะคิดเป็นเงินเท่าใดกันแน่
 
คุณพ่อ Valguarnera ได้สร้างบ้านพักหลังที่สองขึ้นพร้อมกับวัดแห่งหนึ่งในบริเวณค่ายโปรตุเกส คนละฝั่งแม่น้ำ เยื้องๆ กับค่ายญี่ปุ่น ประมาณปี ค.ศ. 1656 และประวัติของคณะเยสุอิตบันทึกว่า คุณพ่อเองได้รับแต่งตั้งเป็นอธิการองค์แรก นอกจากนี้ยังมีบันทึกไว้ด้วยว่าในปี ค.ศ. 1666 มีโรงเรียนอยู่ในบ้านพักของท่านด้วย "คุณพ่อเหล่านี้ตั้งโรงเรียนแห่งหนึ่งขึ้นในบ้านของพวกท่าน ซึ่งพวกท่านใช้ในการสอนและอภิบาลไปด้วย"
 
นอกจากบ้านพัก วัด และโรงเรียนแห่งนี้แล้ว วิทยาลัยที่ Sebastiao Andres มีความปรารถนาให้สร้างขึ้นด้วยทรัพย์สินของตนนั้น ก็จำเป็นต้องสร้างขึ้นด้วย และที่สุดคุณพ่อ Valguarnera ก็สร้างขึ้นมา ในจดหมายเวียนปี ค.ศ.1671 กล่าวเอาไว้ว่า "คุณพ่อ Valguarnera  ซึ่งเวลานี้เป็นผู้ตรวจการคนแรกของคณะในตะวันออกได้สร้างบ้านพัก วิทยาลัย ในอาณาจักรสยาม พระสงฆ์ 4 องค์  และ Brother ผู้ช่วย 1 องค์   ทำงานในด้านอภิบาล ศีลศักดิ์สิทธิ์ ประกาศพระวาจาในวิทยาลัย    สอนนักเรียนในโรงเรียนบันทึกนี้แสดงว่าคุณพ่อ  Valguarnera ต้องสร้างวิทยาลัย  แล้วในระหว่างปี ค.ศ.1660-1670 เพราะว่าท่านได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการจีนและญี่ปุ่นในระหว่าง  ปี ค.ศ. 1671-1675   แล้วจึงกลับมาสยามอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1675
 
พระเจ้าแผ่นดินแห่งสยามทรงได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์ของคุณพ่อ Valguarnera เกี่ยวกับความสามารถในการออกแบบก่อสร้างและวิศวกรรม ทรงมีรับสั่งให้คุณพ่อเป็นผู้สร้างป้อมปราการต่างๆ ที่กรุงเทพ, นนทบุรี, อยุธยา และหัวเมืองอื่นๆ เพื่อป้องกันราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังทรงมีรับสั่งให้สร้างตำหนักใหม่ของพระองค์ที่ลพบุรี   ภายใต้การออกแบบและควบคุมการก่อสร้างของคุณพ่อ Valguarnera ผู้นี้ จากเอกสารที่ Launay รวบรวมไว้มีบันทึกไว้ว่า "ทางด้านคณะเยสุอิต  คุณพ่อ Thomas Valguarnera ชาวซิซิเลียน และอธิการกำลังยุ่งทีเดียวกับการก่อสร้างต่างๆ "
 
คุณพ่อ Valguarnera เป็นที่พอพระทัยของพระนารายณ์อย่างยิ่งจนว่าเมื่อครั้งที่วัดเยสุอิตเกิดไฟไหม้ขึ้นโดยอุบัติเหตุนั้น สมเด็จพระนารายณ์ทรงพระราชทานวัดใหม่ให้คุณพ่อซึ่งเป็นวัดที่ดีกว่าวัดเดิมเสียอีก
 
ไฟไหม้ครั้งนั้นเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1658  เรื่องนี้เราทราบจากหนังสือของ   Chappoulie  นอกจากนี้ในเอกสารที่รักษาไว้ในหอจดหมายเหตุของคณะที่กรุงโรม หมวดญี่ปุ่นและจีน vol.162 แผ่นที่ 67 ได้แสดงให้เห็นว่าพระนารายณ์ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้คุณพ่อ Valguarnera ปฏิบัติ งานแพร่ธรรมท่ามกลางประชาชนในสยามอย่างอิสระเสรีทุกประการ  อีกประการหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ตามปกติพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ชาวต่างชาติติดตามพระองค์ไปในที่ต่างๆ มีแต่คุณพ่อผู้นี้   ที่สามารถอยู่ข้างพระกายพระองค์
 
ยังมีเรื่องที่น่าสนใจของคุณพ่อผู้นี้อีกประการหนึ่งซึ่งผมพบจากหนังสือของ Giovanni Gnolfo ชื่อ Un Missionario Assorino : Tommaso dei Conti Valguarnera s.j. (1609-1677)  เป็นประวัติอย่างละเอียดของคุณพ่อโดยอ้างอิงเอกสารต่างๆ มากมายที่น่าเชื่อถือ หนังสือนี้บรรยายถึงวิธีการของสงฆ์เยสุอิตในเอเชียประการหนึ่งก็คือ การปรับวัฒนธรรม เช่น Matteo Ricci (+ค.ศ. 1610) ได้กระทำในประเทศจีน, Roberto de Nobile ในอินเดีย คุณพ่อ Valguarnera เองก็ได้ทำเช่นเดียวกันนี้ในเมืองกัว, มาเก๊า และที่สยามด้วย ท่านเขียนงานเขียนทางด้านศาสนาขึ้นมาหลายชิ้นโดยเขียนเป็นภาษาสยาม "ในด้านงานแพร่ธรรมของท่านด้วยงานเขียน งานเขียนที่สำคัญที่สุด ได้แก่ พจนานุกรมภาษาสยาม ซึ่งธรรมทูตร่วมสมัยของท่านได้แก่ Marini ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในงานเขียนของเขา" อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครค้นพจนานุกรมเล่มนี้เลย รวมทั้งงานเขียนอื่นๆ ของ  คุณพ่อด้วย หนังสือของ Gnolfo เล่มนี้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจอีกมากเกี่ยวกับคุณพ่อ Valguarnera
 
ในปี ค.ศ. 1659 คุณพ่อ Cardoso มาที่สยามโดยเดินทางมาจากมาเก๊า และในปี ค.ศ. 1663 ท่านก็สืบตำแหน่งอธิการที่สยามนี้แทนคุณพ่อ Valguarnera ซึ่งกำลังยุ่งมากเกี่ยวกับการก่อสร้างต่างๆ   J. Burnay ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับเยสุอิตกล่าวไว้ด้วยว่า ท่านไม่ทราบว่าคุณพ่อ Cardoso ออกจากสยามไปตั้งแต่เมื่อใดเพราะไม่พบหลักฐานบันทึกไว้ ทราบแต่เพียงว่าท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะแขวงญี่ปุ่นในระหว่างปี ค.ศ. 1673-1676 คุณพ่ออีกองค์หนึ่งซึ่งต่อไปจะมีบทบาทที่สำคัญในส่วนหนึ่งของคณะเยสุอิตในสยามที่ควรกล่าวถึงไว้ ณ ที่นี้ ได้แก่ คุณพ่อ John Baptist Maldonado ชาวเบลเยี่ยม ท่านอยู่ในกรุงศรีอยุธยาระหว่างปี ค.ศ. 1673-1691 และหลายปีในระหว่างนี้ท่านเป็นอธิการด้วย
 
นอกเหนือจากพระสงฆ์ที่เอ่ยนามมาแล้วนี้ ในระหว่างระยะเวลา 54 ปี คือ ค.ศ. 1655-1709 มีพระสงฆ์เยสุอิตประมาณ 30 องค์ ผ่านมาพักที่บ้านเยสุอิตในสยาม เป็นชาวโปรตุเกส 19 องค์,  เบลเยี่ยม 1 องค์, โปแลนด์ 1 องค์, ชาวญี่ปุ่น 1 องค์ และชาวฝรั่งเศส 4 องค์ เราสามารถสรุปจุดมุ่งหมายในการผ่านมาสยามได้ดังนี้ พระสงฆ์พวกนี้ประมาณ 16 องค์ ผ่านมาเพื่อเดินทางต่อไปจีน หรือไม่ก็ถูกขับไล่มาจากมิสซังอื่นๆ  บริเวณนี้
 
ตามปกติ ที่บ้านพักของเยสุอิตนี้มีน้อยครั้งมากที่มีสมาชิกประจำ 4 องค์   ปกติมีเพียง 2 องค์ประจำเท่านั้น  ราวๆ  ต้นศตวรรษที่ 18 มีแต่เพียงคุณพ่อ Gaspar da Coste เท่านั้น และเมื่อท่านเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1709 ก็มีระยะเวลาประมาณ 1-2 ปี ที่ไม่มีสงฆ์เยสุอิตอยู่ที่บ้านพักเลยแม้แต่    องค์เดียว.
 
สิทธิอุปถัมภ์ศาสนา (Padroado) 
สิทธิพิเศษที่เรากำลังจะกล่าวถึงอยู่นี้   เราใช้คำเรียกทับศัพท์เพื่อให้ใช้กันอย่างถูกต้อง    และสากล  แม้ว่าเราจะไม่เคยชินกับคำว่า "ปาโดรอาโด" มากนัก เวลานี้กำลังจะศึกษาเพื่อให้รู้ถึงที่มาและความเป็นมาของสิทธิพิเศษประการนี้  ที่พระศาสนจักรมอบให้แก่ประเทศสเปนและโปรตุเกส สาเหตุอีกประการหนึ่งที่เราควรศึกษาถึงเรื่องนี้ก็คือ บรรดามิชชันนารีที่เข้ามาในสยามในศตวรรษที่ 16 และศตวรรษที่ 17 นั้น ต่างก็เป็นนักบวชที่มาจากมะละกา, กัว มาเก๊า และมะนิลา ซึ่งล้วนเป็นนักบวชที่ขึ้นอยู่กับสิทธิพิเศษนี้ทั้งสิ้น  และเมื่อบรรดามิชชันนารีเหล่านี้ต้องพบและอยู่ร่วมกับมิชชันนารีที่ทางสมณกระทรวงโปรปากันดา ฟีเด ส่งมา ได้แก่ มิชชันนารีของคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (M.E.P.) ก็เท่ากับมีสองอำนาจที่อยู่ในที่เดียวกัน ปัญหาต่างๆ  ย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  ซึ่งเราจะศึกษากันต่อไป อันที่จริงการศึกษาถึงเรื่องนี้ไม่ยากนัก  เพราะมีนักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาถึงเรื่องนี้อยู่มากมาย  และมีงานเขียนหลายชิ้นที่ช่วยให้เราเข้าใจง่ายขึ้น  เพียงแต่ว่าเป็นภาษาต่างประเทศเท่านั้น
 
ความหมายและต้นกำเนิดของปาโดรอาโด
ความหมาย
ปาโดรอาโดไม่ใช่เป็นเพียงรูปแบบของผลประโยชน์ทางพระศาสนจักร และการอุปถัมภ์ศาสนาของกษัตริย์ แต่ยังหมายถึงสัญญาด้วย  จึงไม่ใช่เฉพาะรูปแบบ   (Form)  แต่เป็นสัญญา  (Contracts)    ที่ทำขึ้นระหว่างพระศาสนจักรกับรัฐ   เป็นดังรูปแบบหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองสถาบันนี้ พระศาสนจักรเป็นสถาบันที่มีความสำคัญมากในยุโรป เพราะเหตุว่านับจากสมัยกลางมาจนถึงปี ค.ศ. 1415 ยุโรปและส่วนต่างๆ ของโลกได้รู้จักกับคริสตศาสนาแล้ว โดยเฉพาะยุโรปนั้นการแพร่ธรรมได้แผ่กว้างและขยายตัวออกไปทั่วทวีปทีเดียว และด้วยความเชื่อในคริสตศาสนานี้ พระสันตะปาปานั้นเป็นผู้มีอิทธิพลใหญ่หลวงแม้แต่ต่อผู้ปกครองรัฐ และประเทศต่างๆ เองก็ยังต้องเชื่อฟัง สัญญานี้จึงผูกมัดให้ผู้ปกครองรัฐที่ทำสัญญานี้มีบทบาทมากในการบริหารและสนับสนุนพระศาสนจักร
 
ในยุโรปเวลานั้นมีอยู่เพียง 2 ประเทศที่มีอำนาจยิ่งใหญ่มากได้แก่ ประเทศสเปนและโปรตุเกส ดังนั้นเมื่อทั้ง 2 ประเทศนี้ได้รับสิทธิพิเศษปาโดรอาโดแล้ว สิทธินี้ก็ขยายวงกว้างออกไปยังดินแดนอาณานิคมที่พวกเขาได้มาครอบครองด้วย และทั้งสองประเทศนี้ก็พยายามปกป้องสิทธิของตนอย่างเต็มที่
 
ต้นกำเนิด 
ต้นกำเนิดนี้เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 อย่างด้วยกัน
1.  การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ  และความเจริญก้าวหน้าทางการเดินเรือของสเปนและโปรตุ เกส  ทำให้ปาโดรอาโดขยายวงกว้างออกไปยังดินแดนที่ค้นพบขึ้นใหม่ ในประเทศโปรตุเกสนั้น    มีการก่อตั้งคณะแห่งพระคริสต์ (Order of Christ) ขึ้นมาโดยพระสันตะปาปายอห์นที่ 22 เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1319 โดยเป็นคณะทหารที่จะปกป้องพระศาสนจักรจากการรุกรานของมุสลิม       ที่กำลังขยายตัวเข้ามาสู่ยุโรป คณะนี้อยู่ภายใต้การดูแลโดยกษัตริย์โปรตุเกสเองทีเดียว ทำหน้าที่เป็นอธิการของคณะ ดังนั้น กษัตริย์โปรตุเกสจึงมีอำนาจมากทีเดียวในการปกครองดูแลอาณานิคมของตนทั้งทางโลกและทางธรรมด้วย การเดินเรือของโปรตุเกสเริ่มต้นขึ้นโดยเจ้าชายเฮนรี ซึ่งได้รับสมญานามว่า "นักเดินเรือ" เป็นโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้ายอห์นที่ 1 กษัตริย์โปรตุเกส (ค.ศ. 1385-1433) เจ้าชายเฮนรีเดินเรือไปจนถึงเมืองเซวต้า (Ceuta) ซึ่งอยู่ในเมาริตาเนีย ชายฝั่งทะเลของทวีปอาฟริกาเหนือและยึดเมืองนี้ไว้ได้เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม  ค.ศ. 1415  พระสันตะปาปาจึงทรงตั้งให้เซวต้าเป็นสังฆมณฑล ขึ้นอยู่กับสังฆมณฑลราคาในโปรตุเกส  การเข้ายึดส่วนหนึ่งของอาฟริกานั้นเป็นผลดี เพราะเท่ากับเป็นการตัดกำลังพวกแขกมัวร์ (มุสลิม) ที่กำลังข่มขู่ยุโรปอยู่ อีกทั้งยังเป็นการแพร่ขยายพระศาสนาด้วย  พระสันตะปาปาเริ่มให้อภิสิทธิ์แก่โปรตุเกส  คืออำนาจในการปกครองเมืองและดินแดนที่ชนะมาได้   ทั้งเวลานั้นและในเวลาต่อๆ ไปด้วย  โปรตุเกสจึงเริ่มต้นงานค้นพบดินแดนใหม่ทางการเดินเรือ   เจ้าชายเฮนรีพยายามทำงานอย่างเต็มที่ที่จะนำคริสต์ศาสนาเข้าไปในมหาสมุทรอินเดีย
 
ประเทศสเปนเองก็กำลังขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจใหม่ในเวลานั้น ความแข็งแกร่งและความเป็นปึกแผ่นของสเปนนั้น เกิดขึ้นภายในช่วงระยะเวลาประมาณหนึ่งศตวรรษเท่านั้น ทั้งนี้เพราะในระหว่าง ค.ศ.714 และ 732 พวกแขกมัวร์ได้เข้าครอบครองคาบสมุทรนี้อยู่นานทีเดียว  ในที่สุดอาณาจักรคริสเตียนที่เหลืออยู่ 2-3 แห่งทางภาคเหนือของคาบสมุทร ได้รวมตัวกันขับไล่ออกไป โดยมีอาณาจักรอารากอน และอาณาจักรคาสตีลเป็นแกนนำ ปี ค.ศ.1469 ดินแดนสเปนรวมเข้าเป็นรัฐเดียวโดยการอภิเษกสมรสระหว่างพระเจ้าเฟอร์ดินันโด (Ferdinando) แห่งแคว้นอารากอน และพระนางอิสซาเบลลา (Isabella) แห่งแคว้นคาสตีล สเปนสามารถขับไล่แขกมัวร์ออกไปได้เมื่อยึดแคว้นกรานาดาได้ในปี ค.ศ. 1492 และที่สุดยังสามารถยึดโปรตุเกสได้ด้วยในปี ค.ศ. 1581
 
ความยิ่งใหญ่ของสเปนเริ่มขึ้นเมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ค้นพบทวีปอเมริกาและยึดไว้ได้ในนามของประเทศสเปนในปี ค.ศ. 1492 พระเจ้าเฟอร์ดินัลโดและพระนางอิสซาเบลลาก็เรียกร้องและขอจากพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 (ค.ศ. 1492-1503) ทันทีโดยขอเอกสาร (Bull)  เพื่อยืนยันถึงสิทธิที่ตนควรได้รับเช่นเดียวกับที่โปรตุเกสได้รับเหนือทวีปอาฟริกามาแล้ว  และนับจากนี้ไปมีสองสิ่งที่ควบคู่กันไปเสมอ  ได้แก่
 
* การล่าอาณานิคม การสำรวจโลกใหม่อย่างจริงจังทั้งของโปรตุเกสและสเปน
 
* การขอสิทธิพิเศษ Padroado เหนือดินแดนใหม่ อำนาจในการปกครอง แพร่ธรรม     ซึ่งสิทธิพิเศษมีการแก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม อยู่ตลอดเวลา
 
ข้อสังเกตประการหนึ่งก็คือ แม้ว่าสเปนกับโปรตุเกสจะเป็นมหาอำนาจในยุโรป แต่ต่างก็ต้องขออนุญาตจากพระสันตะปาปา เพราะว่าเป็นเรื่องของความเชื่อโดยแท้จริงว่า พระสันตะปาปาในฐานะเป็นผู้แทนพระคริสตเจ้าบนโลกนี้ มีอำนาจหน้าที่โดยสมบูรณ์ที่จะถอดถอนประเทศทั้งหลายของคนต่างศาสนา เพื่อประโยชน์สำหรับนักปกครองซึ่งถือศาสนาคริสต์ และในกรณีของพระเจ้าเฟอร์นันโดและพระนางอิสซาเบลลานี้ โรมถึงกับเรียกทั้งสองพระองค์นี้ว่า "คาทอลิกสุดๆ" (Catholicissimus) เลยทีเดียว
 
2. การรุกรานของพวกแขกมัวร์ หรือจะเรียกว่ามุสลิม หรือชาวเติร์กก็ได้ ซึ่งกำลังเป็นที่หวาดหวั่นของชาวยุโรป
ในศตวรรษที่ 14 และ 15 แขกมุสลิม หรือพวกเติร์ก (Turk) กำลังมีอำนาจมากและรุกรานยุโรปและเมืองสำคัญเช่น Constantinople ถูกตีแตกในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1453 ชาวยุโรปและพระศาสนจักรเองก็เริ่มกลัวกันว่า ยุโรปจะรอดพ้นมือของพวกเติร์กหรือไม่ ในยุโรปตอนนั้นก็มีเพียง 2   ประเทศที่มีอำนาจและเข้มแข็งเพียงพอที่จะต้านทานการรุกรานของพวกแขกมุสลิมได้ ได้แก่  โปรตุเกส และสเปน  นอกจากมีอำนาจและกำลังเพียงพอแล้ว  ยังมีความก้าวหน้าในการสำรวจดินแดนใหม่ๆ  อีกด้วย กษัตริย์ของทั้ง 2 ประเทศ   (ซึ่งเป็นประเทศคริสตัง)  ต่างก็ขออำนาจ
 
จากพระสันตะปาปาที่จะทำหน้าที่เผยแพร่ความเชื่อไปยังดินแดนที่เพิ่งค้นพบใหม่ๆ เหล่านั้น บรรดาพระสันตะปาปาในสมัยนั้นต่างก็เห็นถึงประโยชน์ทั้งด้านวิญญาณและด้านวัตถุด้วย จึงได้มอบสิทธิพิเศษมากมายแก่พวกนักสำรวจของโปรตุเกสและสเปน และมอบหมายให้ทั้ง 2 ประเทศนี้ทำหน้าที่เผยแพร่ความเชื่อ ในลักษณะเช่นนี้ สิทธิพิเศษเหล่านี้ทำให้ประเทศโปรตุเกสและสเปน กุมบังเหียนการแพร่ธรรมเอาไว้ รวมทั้งยังประโยชน์ต่างๆ ด้วย
 
3. เอกสารมอบสิทธิพิเศษ ที่ออกโดยพระสันตะปาปาต่างๆ รายละเอียดจริงๆ ของสิทธิ พิเศษเหล่านี้ก็มีอยู่ในเอกสารต่างๆ เหล่านี้นี่เอง ต้นกำเนิดของสิทธิพิเศษนี้ที่แท้ ได้แก่ พระสันตะปาปา  เราจะสรุปเอกสารต่างๆ และเนื้อหาที่สำคัญของเอกสารเหล่านี้ด้วย  เพื่อให้ทราบว่าโปรตุเกสและสเปนนั้นมีสิทธิพิเศษอะไรกันนัก
 
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1418 พระสันตะปาปามาร์ตินที่ 5 (ค.ศ. 1417-1431) เริ่มต้นมอบสิทธิพิเศษให้แก่ชาวโปรตุเกสโพ้นทะเลหลายข้อด้วยกันด้วยเอกสาร Bull"Sane Charissimus" วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1418 ตามมาด้วย Bull "Romanus Pontifex" วันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1455 ของพระสันตะปาปานิโคลาสที่ 5 พระสันตะปาปากัลลิสต์ ที่ 3 ก็มอบ Bull "Inter Caetera" ลงวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1456 โดยทั้งหมดนี้มอบให้แก่เจ้าชายเฮนรี นักเดินเรือ
 
โปรดสังเกตดูว่าเอกสารทางการของพระศาสนจักรนั้น จะเรียกชื่อเอกสารโดยใช้คำแรกของเอกสารเป็นหลัก สิทธิพิเศษเหล่านี้ให้ไว้เพื่อความเชื่ออันได้แก่ เพื่อการกลับใจของชาวนิโกรอาฟริกัน นอกจากนี้ เจ้าชายเฮนรียังได้รับสิทธิ์และอำนาจหลายประการจากกษัตริย์โปรตุเกสด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานด้านการเดินเรือตามแผนของเจ้าชายเฮนรีเอง    หลังจากที่เจ้าชายเฮนรีสิ้นพระชนม์แล้วในปี ค.ศ. 1460  การสำรวจทางทะเลก็มีอยู่ประปรายและมีความ สำคัญน้อย
 
พระสันตะปาปาซิกตุสที่ 4 (ค.ศ. 1471-1484) ได้สถาปนาสิทธิอุปถัมภ์ศาสนาปาโดรอาโดอีก ด้วยเอกสาร Bull "Clara Devotionis" ลงวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1472 และได้ส่งจดหมายไปให้แก่อัครสังฆราชแห่ง Lisbon และสังฆราชแห่ง Lamego ให้สิทธิปาโดรอาโดในการตั้งสังฆมณฑลต่างๆ   สร้างวัด และจัดหาบุคคลากรของพระศาสนจักร
 
นักประวัติศาสตร์ผู้หนึ่งคือ Silva Rego ได้สรุปถึงสิทธิพิเศษต่างๆ  เหล่านี้ของปาโดรอาโดไว้สั้นๆ  ดังนี้
 
* การเดินเรือเพื่อค้นหาดินแดนใหม่ๆ  ถูกสงวนไว้เฉพาะนักเดินเรือชาวโปรตุเกสเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อผลดีต่อผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระศาสนาเอง
 
* ชาวโปรตุเกสเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของทะเล รวมทั้งแผ่นดินต่างๆ ที่จะค้นพบและยึดครอง นอกเหนือจากที่ค้นพบและยึดครองไว้แล้ว
 
* ชาวโปรตุเกสมีอำนาจในการเจรจาโดยตรง  และอิสระกับผู้ที่ยังไม่เชื่อทั้งมวล  รวมทั้งกับพวกมุสลิมด้วย
 
* กษัตริย์โปรตุเกสสามารถสร้างและก่อตั้งวัดวาอารามต่างๆ รวมทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์, จัดตั้งและจัดหาคณะนักบวชสำหรับวัดวาอารามต่างๆ   เหล่านั้น   เพื่อโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การยกบาปยกเว้นเฉพาะกรณีที่พระสันตะปาปาสงวนไว้เท่านั้น
 
* ประเทศโปรตุเกสเป็นผู้มีอำนาจในการปกครอง  (Jurisdiction)  แถบอินเดียตลอดไป
 
เป็นที่น่าสังเกตว่า  สิทธิพิเศษจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้เกี่ยวข้องกับอำนาจในการแพร่ธรรมโดยตรงมีแต่ทางอ้อมเท่านั้น
 
พระเจ้ายอห์นที่ 2 (ค.ศ. 1481-1495) แห่งโปรตุเกสพยายามทำงานของเจ้าชายเฮนรีต่อไปด้วยความกระตือรือร้น แต่ในสมัยนี้เองสเปนกำลังเป็นมหาอำนาจคู่แข่งที่สำคัญมาก และเมื่อโคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา สเปนก็เรียกร้องต่อพระสันตะปาปาถึงสิทธิพิเศษ Padroado เช่นเดียวกับที่โปรตุเกสได้รับ
 
พระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์  ที่  6  ออกเอกสาร  Bull  "Inter Caetera"  ลงวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1493  โดยกล่าวว่า   หลังจากที่พระองค์ได้พิจารณาทุกอย่างโดยรอบคอบและอาศัยอำนาจของพระองค์ในฐานะผู้แทนพระคริสตเจ้า พระองค์ทรงรับรองสิทธิอันชอบธรรมทุกประการในการปกครองดินแดนที่ถูกค้นพบขึ้นใหม่  และที่จะถูกค้นพบและยึดครองต่อไปของชาวสเปนในมหาสมุทรตะวันตก รวมทั้งสิทธิอำนาจในการปกครองของพระศาสนจักรตามที่ประเทศโปรตุเกสได้รับด้วย และด้วยเอกสารฉบับนี้   พระสันตะปาปาพยายามหลีกเลี่ยงปัญหาความเข้าใจผิดระหว่างประเทศมหาอำนาจทั้งสอง  พระองค์จึงทรงลากเส้นแบ่งดินแดนในโลกใบนี้   โดยแยกเป็น 2 ฝั่ง  และกั้นเขตด้วยการลากเส้นสมมติจากขั้วโลกใต้ ผ่านราวๆ 100 ลีกตะวันตกของเกาะอาโซราช (Azores) และ Cape de Verd ซึ่งหมายความว่าทางซีกตะวันตกนั้นเป็นของสเปนและทางซีกตะวันออกเป็นของโปรตุเกส
 
หลังจากนี้พระสันตะปาปายังออกเอกสาร Bull "Piis Fidelium" ลงวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1493 มอบอำนาจในการแต่งตั้งมิชชันนารีเพื่อไปอินเดีย รวมทั้งสิทธิพิเศษอื่นๆ เหนือดินแดนและชนพื้นเมืองของดินแดนที่ค้นพบเอกสาร Bull "Inter Caetera" ลงวันที่ 28 มิถุนายน  ค.ศ. 1493  ได้ชี้แจงและขยายสิทธิพิเศษมากกว่าเดิม เอกสาร Bull "Eximiae Devotionis" ลงวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1493 ได้มอบอำนาจในการปกครองทางพระศาสนจักรเช่นเดียวกับที่โปรตุเกสได้รับ และเอกสาร Bull "Dudum Siquidem" ลงวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1493 ได้ประกาศยกเลิกอำนาจต่างๆที่มอบให้ไปแล้วและให้สิทธิพิเศษต่างๆ ใหม่  โดยครั้งนี้ให้สิทธิพิเศษแบบไม่จำกัดและไม่มีเงื่อนไข   แต่กลับกว้างขวางกว่าเดิมด้วย
 
ทางฝ่ายประเทศโปรตุเกสเห็นว่า เส้นแบ่งโลกที่พระสันตะปาปากำหนดไว้นั้น  นำผลประโยชน์ให้แก่สเปนมากกว่า    จึงร้องเรียนไปยังสันตะสำนักโดยเสนอให้เคลื่อนย้ายเส้นแบ่งจาก 100 ลีก ของหมู่เกาะอาโซราช  ให้เป็น 370 ลีก ในสนธิสัญญาที่กระทำด้วยกันที่โทรเดซิลลาช  ลงวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1494 เส้นแบ่งเขตแดนนี้ได้ถูกเปลี่ยนไปตามที่โปรตุเกสต้องการ  ซึ่งหมายความว่าประเทศบราซิลนั้นอยู่ในสิทธิพิเศษของโปรตุเกส
 
ต่อมาพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ ที่ 6 โดยเอกสาร Brief "Cum  Sicut  Magestas"  ลงวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1500 ได้ยืนยันและประกาศอีกครั้งหนึ่งว่า เจ้าหน้าที่ของพระศาสนจักรในดินแดนที่ค้นพบใหม่นี้   ต้องได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์โปรตุเกส อย่างไรก็ตาม จากเอกสารต่างๆ เหล่านี้  ยังไม่มีการพูดถึงหมู่เกาะอันเดียวอย่างชัดเจนเลย ดังนั้นพระสันตะปาปาจูเลียร์ ที่ 2 (ค.ศ. 1503-1513)    ด้วยเอกสาร Bull "Universalis Ecclesiae" ลงวันที่ 28กรกฎาคม ค.ศ. 1508 ได้มอบให้ผู้ปกครองแห่งคาสตีลและจีออง มีสิทธิพิเศษในการที่จะอนุมัติการสร้างวัดวาอารามต่างๆ รวมทั้งเสนอชื่อบุคคลต่างๆ ที่จะรับหน้าที่อภิบาลอาสนวิหาร วัดวาอารามและสถาบันนักบวช และการเสนอชื่อเหล่านี้ต้องเสนอให้แก่พระสันตะปาปาและคณะพระสังฆราชในที่ประชุม Consistory
 
พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 10 (ค.ศ. 1513-1521) ออกเอกสาร Bull "Dum Fidei Constantiam" ลงวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1514 คืนอำนาจของคณะแห่งพระคริสต์ให้แก่โปรตุเกส และเวลาเดียวกันนั้นด้วยเอกสาร Bull "Pro Excellenti Praemanentia" ลงวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1514 ก็ได้ก่อตั้งสังฆมณฑล Funchal ในหมู่เกาะมาเคอีรา ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังทรงรับรองถึงสิทธิปาโดรอาโดเหล่านี้อีก รวมทั้งได้ขยายสิทธิพิเศษนี้ไปยังดินแดนที่ยังไม่รู้จักอีกด้วย โดยอาศัยการออกเอกสารเหล่านี้
 
พระสันตะปาปาเปาโล ที่ 3 (ค.ศ. 1534-1549) ด้วยเอกสาร Bull "Aequum Reputamus"   ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1534 ก่อตั้งสังฆมณฑลกัว ภายใต้การปกครองของกษัตริย์โปรตุเกส เอกสารนี้เองได้ให้คำจำกัดความของสิทธิพิเศษปาโดรอาโดไว้อย่างชัดเจนที่สุด ตามเอกสารนี้ให้สิทธิต่อกษัตริย์โปรตุเกส
 
* ในการเสนอชื่อผู้ที่เหมาะสมจะเป็นพระสังฆราชต่อพระสันตะปาปา
* ผู้ที่เหมาะสมจะเป็นผู้ปกครอง
* ผู้ที่เหมาะสมจะเป็นผู้รับผลประโยชน์ต่างๆ ของพระศาสนจักรส่วนกษัตริย์เองก็มีหน้าที่
* จัดเตรียมและจัดหาสิ่งจำเป็นต่างๆ ของสังฆมณฑล
* ค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ของพระศาสนจักร
* สร้างและซ่อมแซมวัดวาอารามต่างๆ
* จัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับการถวายบูชาและพิธีกรรม
 
เวลานี้เราควรจะสรุปสักเล็กน้อยถึงหลักใหญ่ๆ ของสิทธิพิเศษเหล่านี้ เราต้องไม่ลืมด้วยว่าหลักการเหล่านี้ ประเทศโปรตุเกสและสเปนได้ออกระเบียบมากมายเอาไว้ด้วย เพื่อปกป้องสิทธิพิเศษของตน เช่น มิชชันนารีที่จะไปแพร่ธรรมยังดินแดนที่ค้นพบนั้นต้องได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ ต้องออกเดินทางที่เมืองท่าอะไร   เป็นต้น   รายละเอียดเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ หลักใหญ่ๆ   ของสิทธิพิเศษเราจะสรุปได้ดังนี้ โดยเราจะสรุปเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิพิเศษปาโดรอาโดเท่านั้น เพราะเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของเราโดยตรง ดังนี้ ตามที่คุณพ่อโรแบรต์ คอสเต   ได้จัดทำไว้แล้ว
 
ระบบของ "ปาโดรอาโด" หรือการปกครองของโปรตุเกส
1.  อำนาจปกครองของกษัตริย์
กษัตริย์มีส่วนร่วมในกิจการเผยแพร่ศาสนา ฉะนั้น
ก.) พระองค์เป็นผู้เสนอชื่อของผู้ที่จะเป็นสังฆราชในสังฆมณฑลต่างๆ ของอาณานิคม พระองค์แต่งตั้งเจ้าอาวาสโดยตรง สำหรับสังฆราชไม่ต้องการการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปา เพราะพระสงฆ์จิตตาธิการของคณะ "กองพลของพระคริสต์" มีอภิสิทธิ์มอบอำนาจฝ่ายธรรมแก่พระสังฆราชองค์ใหม่
ข.) กษัตริย์เป็นผู้ออกเงินเพื่อบำรุงวัดและอาราม
* พระองค์ให้เงินเลี้ยงพระสงฆ์และฆราวาสที่ทำงานเกี่ยวกับวัด
* พระองค์มีหน้าที่ซ่อมแซมวัดวาอาราม และสร้างใหม่เมื่อต้องการ
 
2.  คำสอนสมัยนั้นเกี่ยวกับอำนาจฝ่ายธรรมของกษัตริย์
* สมัยนั้นถือว่า กษัตริย์มีส่วนในฝ่ายธรรมของพระศาสนจักร เพราะพระองค์ต้อง รับผิดชอบในความรอดฝ่ายวิญญาณของไพร่พล
* พระองค์ทรงรับผิดชอบความเจริญของศาสนา และความเป็นระเบียบเรียบร้อย ของพระศาสนจักรในราชอาณาจักร
* พระสันตะปาปาได้ทรงมอบภาระหน้าที่การเผยแพร่ศาสนาและการจัดระเบียบ การปกครองของพระศาสนจักรในประเทศที่ไม่อยู่ในยุโรปให้กษัตริย์
 
ในสมัยนั้น ทุกคนย่อมรับสิทธิ์การปกครองทางธรรมของกษัตริย์ เช่นตัวอย่าง นักบุญฟรังซิส ซาวีเอรี ท่านเขียนจดหมายทูลกษัตริย์ยวงที่ 3 กล้าติความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของพระองค์    ที่ล่าช้าในการจัดการเกี่ยวกับงานแพร่ธรรม (พ.ศ. 2092 / ค.ศ. 1549) 
 
ว่าดังนี้... "ข้าพเจ้าทราบทางประสบการณ์ว่า พระองค์ไม่มีความสามารถในการเผยแพร่ความเชื่อในประเทศอินเดียแต่พระองค์กลับมีความสามารถเพื่อกอบโกยสะสมทรัพย์สินฝ่ายโลกจากประเทศอินเดีย..."
 
3.  ระเบียบของปาโดรอาโด
* ธรรมทูตที่ไปในดินแดนมิสซังต้องโดยสารทางเรือของโปรตุเกสประเทศเดียว
* ต้องออกเดินทางจากเมืองลิสบอนเมืองเดียว ฉะนั้นพระสงฆ์และนักบวชชาว โปรตุเกส หรือชาวต่างประเทศทั่วยุโรป   ต้องไปรวมกันที่ลิสบอน ที่นั่นเจ้าหน้าที่โปรตุเกสตรวจคนที่จะออกเดินทางอย่างละเอียด   (เกี่ยวกับอายุ  สัญชาติ  ยศ ตำแหน่ง...) คนต่างชาติต้องเรียนภาษาโปรตุเกส เพราะเป็นภาษาที่ใช้ทั่วไปในมิสซัง ชื่อของคนต่างชาติบางครั้งถูกตัดให้เป็นสำเนียงโปรตุเกส
* ธรรมทูตทุกคนต้องไปเฝ้าพระมหากษัตริย์และปฏิญาณตัวต่อพระองค์ สัญญาที่จะ ซื่อสัตย์ต่อกษัตริย์โปรตุเกส
* ธรรมทูตเดินทางภายใต้การนำของพระสงฆ์ชาวโปรตุเกส
* เมื่อถึงเมืองกัว อุปราชจะตรวจตัวธรรมทูตอีกครั้ง
* ในมิสซัง ต้องทำงานภายใต้การปกครองของนักบวชโปรตุเกส
 
จุดอ่อนของการปกครองของโปรตุเกส
ประเทศโปรตุเกสเป็นประเทศเล็ก เมื่อนักเดินเรือเริ่มพบดินแดนใหม่ ในโปรตุเกสเองพลเมืองมีไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนคน ฉะนั้นโปรตุเกสประเทศเดียวไม่สามารถรับผิดชอบการเผยแพร่ศาสนาทั่วอาณานิคมของตน ฉะนั้นกษัตริย์จึงขอความช่วยเหลือจากคณะนักบวช ทั้งขอให้นักบวชเรียกสมาชิกของคณะที่เป็นชาวต่างประเทศมาช่วยด้วย จึงมีนักบวชชาวอิตาเลียน สเปน เยอรมัน ออสเตรีย โปแลนด์... ไปสมทบชาวโปรตุเกสเป็นธรรมทูตเป็นจำนวนมาก
 
* ในดินแดนมิสซัง เขาใช้ครูคำสอนช่วยสอนศาสนา แต่ไม่ส่งเสริมการบวชพระสงฆ์พื้นเมือง
* ตามธรรมดา ชาวโปรตุเกสยึดครองดินแดนทางชายทะเล ไม่นิยมเข้าไปลึกในแผ่นดินที่เป็นอาณานิคมของเขา
* ฉะนั้น  โปรตุเกส ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการมากมายของประเทศมิสซัง  อันกว้างใหญ่เหลือเกิน 
 
ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับระบบปาโดรอาโด
1. น่าสังเกตว่า แม้ระยะเวลานั้นจะอยู่ในศตวรรษที่ 16  แล้วก็ตามแต่ประเทศ โปรตุเกสและสเปนยังคงยึดถือจิตตารมณ์ของสมัยกลางอยู่  นั่นคือ การยึดติดอยู่กับสถาบันพระสันตะปาปา แทนที่จะยึดติดอยู่กับความโน้มเอียง  ไปสู่ความเปลี่ยนแปลง จากสมัยกลางไปสู่สมัยใหม่  ตามที่มีอยู่ทั่วไปในยุโรปเวลานั้น ประเทศทั้งสองจึง กลายเป็นเสมือนเครื่องมือที่พระศาสนจักรใช้ในการขยายพระศาสนจักรไปสู่ดินแดน ที่เพิ่งค้นพบใหม่
 
2. การก่อตั้งระบบปาโดรอาโด ทำให้ประเทศสเปนและโปรตุเกสต้องรับหน้าที่ในการ ต่อสู้กับพวกแขกมัวร์มุสลิม   ที่กำลังคุกคามยุโรปในเวลานั้น  และด้วยการสำรวจ ดินแดนใหม่  พระศาสนจักรก็สามารถทำให้มีการกลับใจได้
 
3. ในปี ค.ศ. 1580 ประเทศโปรตุเกสตกอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน และเป็นอยู่ เช่นนี้ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1640 เมื่อมีการปฏิวัติกันขึ้นและที่สุดก็สถาปนาระบบพระมหากษัตริย์ปกครองโปรตุเกสต่อไป   ในช่วงระยะเวลาที่โปรตุเกสอ่อนแอมาก เช่นนี้เอง ก็มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นในพระศาสนจักร นั่นคือ การก่อตั้งสมณกระทรวงเผยแพร่ ความเชื่อ  หรือ ที่รู้จักกันในนาม โปรปากันดา ฟีเด (Propaganda Fide) ทั้งนี้เป็นเพราะ ระบบปาโดรอาโดทำให้เกิดอุปสรรคในการทำงานแพร่ธรรมของพระศาสนจักร เมื่อเป็นเช่นนี้ สิทธิพิเศษปาโดรอาโด กับบุคคลากรของโปรปากันดา ฟีเด ก็ต้องเผชิญ หน้ากันในดินแดนที่ทั้งสองต้องทำงานร่วมกัน มิสซังสยามก็ไม่ได้รับการยกเว้น