องค์ที่ 152 สมเด็จพระสันตะปาปานักบุญเลโอ ที่ 9 (Pope St. Leo IX ค.ศ.1049-1054)

 

สมเด็จพระสันตะปาปานักบุญเลโอ ที่ 9

 (Pope St. Leo IX  ค.ศ. 1049-1054)
 
เราว่างเว้นจากการมีพระสันตะปาปาที่ดีสมที่ได้เป็นนักบุญมานาน จนมาถึงสมัยของพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 9 นี้เอง ทรงเป็นผู้นำพระศาสนจักรละตินแห่งยุคกลาง (คริสต์ศตวรรษ 12-15) เป็นศูนย์รวมพระศาสนจักรแห่งยุโรปตะวันตก การแตกแยกของพระศาสนจักรตะวันออกและตะวันตก เริ่มต้นใน ค.ศ. 1045
 
พระองค์มีชื่อเดิมว่า บรูโนแห่งเอจิสไฮม์ มาจากแคว้นอัลซาส เป็นบุตรขุนนาง หลังจากที่ได้รับการศึกษาที่เมืองตูลแล้ว ได้บวชเป็นพระสงฆ์และประจำอยู่ที่วิหารของเมือง ภายหลังได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระสังฆราช วันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1027 ขณะอายุได้เพียง 25 ปี  พระเจ้าเฮนรีให้ความนับถือท่านมาก และได้มีชื่อของท่านอยู่ในรายชื่อของผู้ที่พระเจ้าเฮนรีจะเสนอให้ดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาสืบต่อจากพระสันตะปาปาดามาซุส ที่ 2 ทรงกระตือรือร้น มีเหตุผล และทรงเป็นผู้ที่มีความร้อนรนในการปฏิรูปพระศาสนจักรอย่างยิ่ง ทรงริเริ่มวางรากฐานแก่อารามสำคัญๆ ในสังฆมณฑลรวมทั้งอารามคณะนักบวช ด้วยการเรียกประชุมบ่อยครั้ง และสรุปข้อกำหนดเสนอแนะเป็นแนวทางปฏิบัติ
 
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1048 พระเจ้าเฮนรีจึงเสนอชื่อของท่านให้คณะที่ประชุมลงมติ และก็ได้รับเสียงสนับสนุนเป็นเอกฉันท์ แต่ส่วนตัวของท่านเองมีข้อแม้ว่า ท่านจะรับตำแหน่งก็ต่อเมื่อประชาชนและคณะสงฆ์โรมยอมรับคำตัดสินนี้ก่อน ดังนั้นท่านจึงเดินทางไปโรม และแต่งตัวเหมือนผู้แสวงบุญ ชาวเมืองเมื่อทราบว่าพระองค์เป็นใครก็รู้สึกประทับใจและยอมรับพระองค์ทันที ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1049 ขณะอายุได้เพียง 47 ปี
 
พระองค์ได้รับอภิเษกให้ดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา โดยใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 9 ทรงเริ่มปฏิรูปพระศาสนจักรอย่างจริงจัง กำจัดศัตรูของพระศาสนจักรอย่างถอนรากถอนโคน ได้แก่ การครองชีวิตโสดของพระสงฆ์ การซื้อขายตำแหน่งทางศาสนา และการที่ฆราวาสเข้ามาก้าวก่ายกิจการของพระศาสนจักร โดยมุ่งมั่นให้พระศาสนจักรเป็นศูนย์รวมด้านจิตใจของการดำเนินชีวิตในสังคม โดยได้รับความช่วยเหลือจากนักวิชาการและนักบริหารที่พระองค์รู้จักขณะดำรงตำแหน่งพระสังฆราชแห่งตูล ได้แก่ ท่านฮัมเบริ์ด แห่งมัวเยนมูติเอร์ (Humbert of Moyenmoutier) ท่านเฟรดเดริคแห่งลอร์เรน (Frederrick of Lorraine) (ภายหลังดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาสเตเฟน ที่ 9) และท่านฮิลเดอแบรนด์ นักพรตที่มีความสามารถโดดเด่นจากอารามคลูนี (ซึ่งดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 7 ในเวลาต่อมา) นอกจากนี้พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 9 ยังพบปะผู้นำพระศาสนจักรอื่นๆ เช่น ปีเตอร์ ดาเมียน (Peter Damian) และนักพรตฮิว (Huge) จากอารามคลูนี ผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม และมีอิทธิพลต่อการปูพื้นฐานการปฏิรูปพระศาสนจักรจนเป็นที่ยอมรับ (ท่านปีเตอร์ ดาเมียนและท่านฮิลเดอแบรนด์จะได้เป็นนักบุญ) พระสันตะปาปาเลโอได้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ท่านจะเป็นคนต่างชาติ แต่ก็มีสามารถในการบริหารและชนะใจชาวโรมได้ เป็นต้นในเรื่องการปฏิรูปพระศาสนจักร
 
สมัยปกครองของพระองค์ต้องเผชิญกับการรุกรานของพวกนอร์มันที่รุกมาทางใต้ พระองค์จึงได้รณรงค์จัดกองทัพไปต่อต้าน โชคร้ายกองทัพของพระองค์ต้านทานไม่ไหว และพระองค์เองถูกพวกนอร์มันจับตัวไป แต่พวกนอร์มันก็ได้ปฏิบัติกับพระองค์อย่างดีสมกับตำแหน่งพระสันตะปาปา ภายหลังจึงมีการเจรจาไถ่ตัวและต้องเสียค่าปรับและค่าไถ่เป็นจำนวนมาก ทำให้ฝ่ายไบเซนไทน์ไม่พอใจ เพราะถือว่าพระองค์เข้ามาก้าวก่ายเรื่องภายในพระศาสนจักรไบเซนไทน์ (อิตาลีภาคใต้อยู่ในเขตควบคุมของไบเซนไทน์) การแตกแยกระหว่างโรมและไบเซนไทน์ จึงถึงขั้นรุนแรงและรุกรานไปถึงเรื่องความเชื่อ และกลายเป็นกลุ่มแยกตัวจากโรมไปก็มี
 
สิ่งสำคัญที่ควรบันทึกในสมัยปกครองของพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 9 นักบริหารและนักวิชาการหลายท่านตามที่กล่าวถึงข้างต้น ต่างได้รับการสถาปนาเป็นพระคาร์ดินัลทั้งสิ้นบุคคลเหล่านี้เปรียบเสมือนที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดพระสันตะปาปา ในเวลาต่อมาได้มีการรวบรวมกลุ่มบุคคลผู้มีความสามารถสูงเหล่านี้ ตั้งเป็นคณะพระคาร์ดินัล (Sacred College of Carddinals) 
 
พระองค์ประสงค์ให้ตำแหน่งพระสันตะปาปาในฐานะผู้นำสูงสุดของบรรดาพระสังฆราชเป็นรูปธรรม จึงทรงเรียกประชุมสภาพระสังฆราชมากกว่า 12 ครั้ง ในประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมัน และซิชิลี โดยทรงเข้าร่วมประชุมด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็นประโยชน์ทำให้ได้พบปะกับ พระสงฆ์  นักบวชในทุกระดับ รวมถึงฆราวาสที่มีบทบาทสำคัญต่อพระศาสนจักร
 
พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 9 สิ้นพระชนม์ในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1054